ความสุขจากความเรียบง่าย


ล้วก็ก็ย้ายจากบ้านชานเมืองในซานฟรานซิสโกไปยังมาลิบู เพราะที่ซานฟรานซิสโกแม้จะสวยแต่เขาก็ไปเล่นเซิร์ฟไม่ได้

ได้เข้าเว็บหนึ่งไปอ่านพบเรื่องราวอันน่าประทับใจของความสุขจากการละทิ้งเพื่อสิ่งที่เรียบง่ายในชีวิต ซึ่งก็น่าจะสอดคล้องกับคำยอดฮิตของคนไทยที่ว่า "ความพอเพียง" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว บทความนี้แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ชาวอเมริกันเริ่มหันมาใช้ชีวิตแบบพอเพียงกันเป็นจำนวนมาก และมันก็ส่งผลให้พวกเขามีความสุขกันมากกว่าที่เคยเป็น

เป็นการแปลแบบเก็บความและตัดทอนบางส่วนมาให้อ่านกันค่ะ (บทความต้นฉบับเต็มๆ เขียนโดย สเตฟานี่ โรเซนบลูม หาดูกันได้ที่ http://www.nytimes.com/2010/08/08/business/08consume.html?_r=2&pagewanted=all)

แทมมี่ สโตรเบล หญิงสาวชาวอเมริกัน มีอาชีพการงานดีในบริษัทชื่อดัง เงินเดือนสูง 4 หมื่นดอลลาร์ต่อปี มีอพาร์ตเมนต์หรู รถสองคัน ใช้ชีวิตอย่างฟุ่มเฟือย แต่เธอกลับไม่มีความสุข วันหนึ่งเธอกับสามี โลแกน สมิธ ได้ตัดสินใจก้าวออกจากวงวนเดิมๆ เหล่านี้ ทั้งคู่อยู่ในวัย 31 ปีเท่ากันได้แรงบันดาลใจจากบล็อคเกี่ยวกับการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย

หลังจากลาออกจากงานทั้งสองก็เริ่มต้นด้วยการบริจาคสิ่งของให้กับการกุศล ทั้งเสื้อผ้า รองเท้า หนังสือ เครื่องครัว แม้แต่โทรทัศน์ ในที่สุดพวกเขาก็กำจัดรถยนต์ออกไปทั้งสองคันและหันมาใช้จักรยานในการเดินทางแทน นั่นก็เพราะได้แนวคิดจากการใช้ชีวิตด้วยสิ่งของไม่เกิน 100 ชิ้นจากเว็บไซต์หนึ่ง แล้วพวกเขาก็ทำได้ตามตั้งใจ

ปัจจุบันหลังผ่านมา 3 ปี ทั้งคู่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์แบบสตูดิโอห้องเดียวขนาด 400 ตารางฟุต ในพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน พร้อมห้องครัวขนาดกระทัดรัด คุณสามีก็เรียนจบปริญญาเอกด้าน physiology ฝ่ายภรรยาก็มีความสุขกับการทำงานที่บ้านในฐานะนักออกแบบเว็บและเป็นนักเขียนอิสระ เธอเป็นเจ้าของจาน 4 ใบ หม้อ 2 ใบ เป็นเครื่องครัว และมีรองเท้าใช้เพียง 3 คู่ รายได้ 24,000 ดอลลาร์ต่อปี ซึ่งพอสำหรับค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่มี และปลอดจากหนี้สิน



ตอนนี้ทั้งคู่มีเงินเหลือพอสำหรับการเดินทางและมีทุนการศึกษาสำหรับหลานๆ และเนื่องจากไร้หนี้สิน แทมมี่จึงทำงานน้อยลง มีเวลามากขึ้นกับการท่องเที่ยวและเป็นอาสาสมัครให้กับโครงการ Living Yoga

เธอบอกว่า "ความคิดที่ว่าต้องมีเยอะขึ้นเพื่อให้มีความสุขถือเป็นความผิดพลาด ฉันเชื่ออย่างจริงใจว่าการครอบครองสิ่งของไม่ได้นำมาซึ่งความสุขเลย"

คู่สามีภรรยาคู่นี้ได้ปรับปรุงนิสัยการใช้จ่ายก่อนหน้าเศรษฐกิจจะตกต่ำ อันนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริโภคของคนในอเมริกาในปัจจุบันนี้

"เราเปลี่ยนจากการบริโภคอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ซึ่งก็คือซื้อโดยไม่ยั้งคิด ไปเป็นการบริโภคอย่างคิดคำนวณไว้ก่อน" มาร์แชล โคเฮน นักวิเคราะห์ของ NPD Group ซึ่งเป็นองค์กรวิจัยและให้คำปรึกษาด้านการค้าปลีกกล่าว

ผู้บริโภคปัจจุบันนี้เก็บออมเงินไว้มากขึ้นและใช้จ่ายน้อยลงกว่าเมื่อสิบปีก่อน ซึ่งถือว่าเป็นการตอบสนองในด้านบวกต่อวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น งานวิจัยชิ้นใหม่เกี่ยวกับการบริโภคและความสุขชี้ให้เห็นว่า ผู้คนมีความสุขมากขึ้นเมื่อใช้จ่ายเงินไปกับสิ่งที่สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น ตั๋วคอนเสิร์ต การเข้าคอร์สเรียนภาษาต่างประเทศ การเรียนทำอาหาร การไปท่องเที่ยวต่างประเทศ การใช้เวลายามค่ำกับครอบครัว ดูหนัง เล่นเกม หรือแม้แต่ตั้งค่ายในสวนหลังบ้าน เป็นต้น แทนที่จะใช้ไปกับการหาซื้อวัตถุสิ่งของ นั่นเพราะพวกเขาอยากจะสร้างความทรงจำไว้มากกว่า

ประสบการณ์ทำให้เราได้หวนระลึกถึงประสบการณ์ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการยืนรอต่อแถวยาวเหยียดในสนามบิน การทำกล้องพัง การทะเลาะกับเพื่อนที่ไปด้วย "การเดินทางแม้ไม่สมบูรณ์แบบ แต่เราก็จดจำมันได้ทั้งหมด" ศาสตราจารย์ Lyubomirsky แห่งสถาบันสุขภาพจิตแห่งชาติที่ดำเนินการวิจัยเรื่องความสุขกล่าวไว้

นอจากนั้นผู้คนยังมีความสุขมากขึ้นกับการวางแผนการซื้อเป็นเวลานานก่อนที่จะซื้อจริง และเลิกพยายามมีให้ได้ตามอย่างคนอื่นเพื่อสร้างสถานะทางสังคม

การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้น่าจะเป็นการถาวร เพราะพวกเขาตระหนักว่าสิ่งที่ตนมีอยู่แล้วนั้นไม่ใช่สิ่งที่ต้องการอย่างแท้จริง

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา หลายคนลดปริมาณสิ่งของลงเช่นเดียวกับแทมมี่ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตให้ง่ายขึ้น ถือเป็น "การเคลื่อนไหวเพื่อกลับคืนสู่สามัญ" โดยให้ความสำคัญกับครอบครัวมากขึ้นและเลิกใส่ใจกับความหรูหราและสถานภาพทางสังคม นอกจากนั้นการใช้เวลาไปกับการพักผ่อนจะช่วยทำให้การยึดโยงกับสังคมเข้มแข็งขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ความสุขมีเพิ่มมากขึ้นอีกเช่นกัน

ศาสตราจารย์ Lyubomirsky ได้พูดถึงปรากฏการณ์ที่เราพบนั้นคือ ผู้คนต้องการการเปลี่ยนแปลงอย่างไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือร้ายเพื่อรักษาระดับความสุขให้คงที่ แต่ปัญหาก็คือเราคุ้นเคยกับความเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างรวดเร็ว "พอเราซื้อบ้านหลังใหม่ เราก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน" เมื่อเวลาผ่านไปของที่ซื้อมาใหม่ให้ความรู้สึกเฉยๆ ธรรมดา จนกระทั่ง "เราเลิกพอใจกับกันมัน" และแน่นอนว่าเราจะเริ่มซื้อหาของใหม่ๆ อีกครั้ง

ต่างจากความพอใจที่ได้รับจากประสบการณ์ที่พวกเขาไม่ได้ซึมซับมันในครั้งเดียว แต่จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

อีกรายที่ละทิ้งเพื่อความสุขนั่นคือ โรโค เบลิค นักสร้างภาพยนตร์แห่งลอสแองเจิลลิส ผู้ทึ่เคยเดินทางไปทั่วโลกเพื่อสร้างภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Happy หลังจากทำงานหนังเรื่องนี้แล้วก็ก็ย้ายจากบ้านชานเมืองในซานฟรานซิสโกไปยังมาลิบู เพราะที่ซานฟรานซิสโกแม้จะสวยแต่เขาก็ไปเล่นเซิร์ฟไม่ได้



"ผมย้ายไปอยู่ในชุมชนบ้านรถเทรลเลอร์" เบลิคกล่าว "ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนแท้จริงแห่งเรกที่ผมเคยอาศัยอยู่เลยครับ" ตอนนี้เขาได้เซิร์ฟ 3- 4 ครั้งต่อสัปดาห์ "มันทำให้ผมมีความสุขมากขึ้นจริงๆ นะครับ ทุกสิ่งที่เราเคยเรียนรู้ว่าช่วยสร้างความสุขได้ ทั้งซื้อรถใหม่ทุกสองปี ซื้อเสื้อผ้าตามแฟชั่นล่าสุด พวกนี้ไม่ทำให้มีความสุขเลย"

ในหนังสารคดีของเขาแสดงให้เห็นว่าคนที่มีความสุขนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันนั่นคือความสัมพันธ์อันเข้มแข็งกับผู้อื่น

การซื้อหาสิ่งของที่หรูหราฟุ่มเฟือยมีแต่จะนำเราเข้าสู่วังวนแห่งการห่างเหินจากผู้คน เหมือนกับการแข่งขันกันของเพื่อนบ้านที่จะมีให้ได้อย่างเขา แต่หากเราใช้ชีวิตด้วยการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกับผู้คนอื่น มันก็จะทำให้เรามีความสุขยิ่งขึ้น





เรียบเรียงและตัดทอนจาก http://www.nytimes.com/2010/08/08/business/08consume.html?_r=2&pagewanted=all


เว็บไซต์หนังสารคดี Happy http://thehappymovie.com/trailer/


เว็บไซต์ของแทมมี่ สโตรเบล http://rowdykittens.com/
SomewhereOnEarth

เป็นคนชอบหลายอย่าง ทั้งแมว หนังสือ หนัง ซีรี่ส์ เกม ต้นไม้ ถ่ายภาพ วาดรูป ฯลฯ เลยเริ่มต้นทำบล็อกเพื่อเล่าเรื่อง ส่วนหนึ่งเพื่อตัวเอง เพราะเป็นคนขี้ลืม บางเรื่องย้อนกลับมาอ่านยังเหมือนอ่านเรื่องของคนอื่นยังไงยังงั้น อีกส่วนเพื่อแบ่งปันเรื่องราวกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังติดตามเราได้ที่ https://www.youtube.com/taotuatoe

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า