
อาจเป็นด้วยสภาพสังคมของเรา ยามที่เรามองคนจน เรามักแสดงออกมาว่าเรานั้นเห็นอกเห็นใจพวกเขา แต่ในเวลาเดียวกันหลายคนก็อดที่จะเดียจฉันท์คนกลุ่มนี้ไม่ได้ คนที่แสดงออกเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคนรวยที่ดูถูกคนจนเท่านั้น คนที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกันน่ะแหละที่ดูระแวดระวังคนจนเอาไว้ก่อนก็มีเยอะ
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนไปอยู่ต่างจังหวัดกับแฟน ยอมรับว่าไม่มีงาน เงินก็ไม่มี จึงต้องออกแนวประหยัด ประกอบกับเป็นคนไม่ค่อยแต่งเนื้อตัว สภาพภายนอกจึงอาจไม่สวยหรูนัก
วันนั้นฉันเบื่ออยู่บ้านเลยขับรถออกไปเดินเล่นในตลาดและห้างสรรพสินค้าเล็กๆ เสื้อผ้าที่ใส่ออกจากบ้านก็คือชุดที่ใส่อยู่บ้าน ตอนอยู่บ้านก็หยิบจับทำงานบ้านโน่นนิดนี่หน่อยจนมอมแมมไปบ้าง คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้แต่งตัวต่างอะไรกับตอนที่อยู่กรุงเทพมากนัก
ด้วยนิสัยของคนกรุงเทพที่ชอบเดินเล่นในห้าง ที่จังหวัดนี้มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่สองแห่ง แต่ถึงขนาดใหญ่แล้วก็ยังเล็กมากๆ เช่นกัน เป็นห้างในต่างจังหวัดที่เดินทั่วห้างได้ภายในครึ่งชั่วโมง
ฉันก็ไปเดินเล่นเพื่อ "ดู" สินค้าตามชั้นวางของในแผนกเครื่องเขียน เงยหน้าขึ้นเห็นยามรักษาความปลอดภัยของห้างมองมา พอเขาเห็นฉันมองก็หลบหน้าทันที แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร ยังคงเดินดูต่อ สักพักรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม ก็หันไปดู ยามฯคนเดิมรีบหันหน้าหลบทันที ฉันก็ลองเดินต่อไปอีกสักพัก ยามฯคนเดิมก็ยังเดินตามฉัน
ทั้งฮาทั้งเซ็งเลยฉัน เหลือบดูเสื้อผ้าตัวเอง ก็คงมอมแมมซะล่ะมั้ง เขาเลยระแวงว่าจะมาขโมยของ หลังจากนั้นหากว่าต้องไปเดินห้างฉันก็เลยต้องแต่งตัวให้ดีขึ้น
คนที่ไม่เคยเจอคงไม่รู้ซึ้ง
ก็เหมือนกับแนวคิดของบาร์บาร่า เอห์เรนไรซ์ ผู้เขียนหนังสือ "คำให้การของคนเปื้อนเหงื่อ" (หรือ Nickel and Dimed) การจะเขียนเรื่องของคนใช้แรงงานที่ยากจนให้ได้ลึกจริงก็จำเป็นต้องลงไปคลุกวงในด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงแฝงตัวลงไปใช้ชีวิตเหมือนคนจน (ในอเมริกา) โดยจำกัดจำนวนเงินเริ่มต้นชีวิต หาที่พักอาศัยราคาถูก และหางานเหมือนที่ผู้หญิงใช้แรงงานจะทำกัน
เธอจำเป็นต้องสร้างความสมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายเพื่อให้เอาตัวรอดได้
ชีวิตการทำงานของเธอมีทั้งการเป็นพนักงานเสิร์ฟ พนักงานทำความสะอาด พนักงานขายในห้างวอลมาร์ต แต่ละงานนั้นเธอจะถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ด้วยการกวดขันและจับผิดโดยพนักงานด้วยกันเอง (แต่มีตำแหน่งสูงกว่า) การควบคุมก็มีทั้งระเบียบกฏเกณฑ์ การหลอกลวงด้วยคำพูดสวยหรู และอื่นๆ
แรงงานเหล่านี้ถูกใช้งานทางกายอย่างหนักหนาสาหัส ในขณะเดียวกันก็พยายามกดค่าแรงให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และไร้สวัสดิการที่พอเพียง
ข้อแตกต่างของผู้เขียนและแรงงานตัวจริงก็คือ เมื่องานหาข้อมูลของนักเขียนสิ้นสุดลง เธอก็จะได้กลับเข้าสู่ชีวิตอันสุขสบายเช่นเดิม ในขณะที่แรงงานตัวจริงก็ยังคงต้องมีชีวิตจมอยู่กับความทุกข์ยากตลอดไป (นี่คือสิ่งที่นักเขียนตระหนักถึงเช่นกัน)
บาร์บาร่าจึงเปรียบเสมือนคนที่ลงไปสัมผัสและส่งเสียงเรียกร้องขึ้นมาจากก้นหลุมของสังคม ให้คนที่อยู่เบื้องบนได้มองเห็นอีกด้านหนึ่งของชีวิต ด้วยหวังว่าคนที่ควบคุมอยู่ชั้นบนสุดของสังคมจะได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่อพวกเขาบ้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น