วิตกจริตกับการทำหนังสือ "ลงมือทำสมุด" มานาน จิตตกหลายครั้งหลายคราว ยิ่งใกล้เป็นรูปเล่มยิ่งเครียด กลัวว่าจะออกมาดีมั้ย คนอ่านจะรู้เรื่องหรือเปล่า เขาจะชอบกันมั้ย ฯลฯ
โครงการเล่มนี้เริ่มมานานเกือบปี จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คืออยากฝึกเย็บสมุดทำมือ ครูคนแรกที่ไปเรียนก็คือคุณปู พิณประภา ขัณธวุธ กลับจากเรียนครั้งนั้นก็แทบไม่ได้แตะงานด้านนี้เพราะติดงานอื่น จนในที่สุดก็กลับมาจับงานเย็บสมุดอีกครั้ง คราวนี้จริงจังขึ้น ไปหาซื้ออุปกรณ์ที่สำเพ็ง (เดินกันจนปรุ) ได้ไปเข้าคอร์สกับคุณรีฟ 2 ครั้ง และได้ลองหาทางเรียนรู้เองจากเว็บกับหนังสือต่างประเทศที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย ทั้งยังสงสัยว่าทำไมไม่มีหนังสือภาษาไทยในเรื่องนี้บ้าง คุยกับแฟนเรื่องนี้จนพัฒนากลายเป็นการทำหนังสือสอนการเย็บสมุดกับเขาสักเล่ม ที่อยากพิมพ์เองเพราะอยากตั้งสำนักพิมพ์มานานแต่ไม่รู้จะทำหนังสือเรื่องอะไรดีน่ะสิ
พอได้ลงมือทำหนังสือแล้วจึงได้รู้ว่าทำไมจึงไม่มีหนังสือภาษาไทย จากนั้นความเครียดจึงเริ่มต้นจากระดับน้อยๆ จนถึงระดับใหญ่ๆ
ฉันเริ่มด้วยการลองทำตาม How To ของหนังสือหรือเว็บต่างๆ จนแน่ใจว่าทำได้แน่ จึงเก็บแบบสมุดนั้นไว้ในรายการที่จะทำลงหนังสือ พร้อมเขียนบันทึกและหมายเหตุต่างๆ เกี่ยวกับการทำสมุดเล่มนั้นไว้กันลืม จากนั้นก็มาลงคะแนนว่าเล่มไหนจะได้ไปโชว์ตัวในหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ "เต่าตัวโต" และกำหนดหัวข้อของหนังสือกัน
ก่อนที่จะลงมือถ่ายภาพฉันก็ต้องทดลองทำสมุดแบบนั้นจนคล่อง แล้วจึงถ่ายภาพ แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็ยังมีมา ในระหว่างถ่ายภาพหรือหลังจากนั้นฉันอาจไปค้นพบวิธีการอื่นที่ง่ายกว่าหรือน่าสนใจกว่าในการทำสมุด ฉันก็ต้องย้อนกลับมาถ่ายภาพใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
เนื้อหาอีกเช่นกัน มีการแก้ไขปรับปรุงหลายครั้ง ในเรื่องของปกสมุดที่ทำจากกระดาษแข็งหุ้มปก ตอนแรกก็ตั้งใจจะทำเป็นหัวข้อพื้นฐานการทำงาน แต่เมื่อทำๆ ไปก็พบว่าปกสมุดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ตายตัว อย่างในหนังสือก็มีทั้งปกกระดาษแข็ง ปกกระดาษแข็งหุ้มด้วยผ้า ปกหนังเทียม ปกผ้าสักหลาด จริงๆ แล้วในเรื่องของปกนั้นผู้ทำมีอิสระเต็มที่ในการเลือก คุณอาจทำเป็นปกพลาสติกจากแฟ้มเก่า ทำจากกระดาษลัง ทำจากไม้ ทำจากขากางเกงยีนส์เก่า หรืออะไรต่างๆ หลากหลาย ดังนั้นฉันจึงไม่ได้แยกการทำปกไว้เป็นหัวข้อต่างหาก เพราะสิ่งที่ต้องการเน้นในหนังสือเล่มนี้คือวิธีการเข้าเล่ม ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นการเย็บด้วยการใช้เชือก
การตกแต่งหน้าปกจึงเป็นการสร้างสรรค์ส่วนบุคคลที่มีอิสระในตัวเอง
เมื่อถึงตอนนำมาเขียนประกอบเป็นขั้นตอน เนื่องจากฉันเป็นคนจัดหน้าหนังสือเอง จึงเป็นการจัดหน้าไปพร้อมๆ กับการเขียนขั้นตอนพร้อมหาภาพประกอบ มีบ้างเหมือนกันที่ภาพที่ถ่ายมาตกหล่นขั้นตอนสำคัญไป หรือไม่ชัดเจนนัก ฉันก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งกับสมุดอีกเล่ม
บางทีมาดูภาพที่ถ่าย มืดไป สว่างไป ฉากไม่สวย ก็ต้องลงมือทำเล่มใหม่เพื่อถ่ายภาพ ภาพที่ถ่ายมารวมๆ กันจึงมีขนาดหลายสิบ GB กันเลยทีเดียว
ที่ยากที่สุดของงานนี้ก็คือการใส่คำอธิบายให้กับแต่ละขั้นตอน นั่นคงเป็นเหตุผลที่ไม่มีหนังสือแนวนี้ออกมาในตลาด ทั้งเนื้อหาที่ยังใหม่ ศัพท์แสงบางอย่างก็ต้องคิดขึ้นกับน้องปลายน้ำ (พิสูจน์อักษร) ว่าเขียนอย่างนี้จะรู้เรื่องมั้ย บางทีน้องเขาก็จะบอกว่าน่าจะเพิ่มหมายเหตุหรือคำอธิบายตรงไหนอีกดี เพื่อให้อ่าน "รู้เรื่อง" และลงมือทำได้จริง
มีช่วงที่งานหยุดชะงักไป นั่นก็คือตอนที่น้ำท่วมใหญ่ปี 54 บ้านฉันก็อยู่ในจุดน้ำท่วมที่สำคัญด้วยเช่นกัน แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับอีกหลายที่ แต่ก็ทำให้ต้องวุ่นวายกับการหนีน้ำกับดูแลแมว พอน้ำลดได้กลับบ้านก็เกิดอาการต่อไม่ติดไปพักหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงของการพิสูจน์อักษรของ การแต่งหน้าหนังสือเพิ่ม การส่งงานก็ต้องส่งผ่านบริการไปรษณีย์
ช่วงที่เหนื่อยกับการทำความสะอาดบ้านแทบไม่อยากแตะงานอย่างอื่น แต่ก็เรียกแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าเนื้องานเรียบร้อย (แต่ก็ยังประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจว่าจะมีอะไรผิดพลาดในจุดไหนของเนื้อหาหรือไม่) ก็ติดต่อโรงพิมพ์เพื่อขอราคาค่าพิมพ์ และติดต่อสายส่งที่อมรินทร์
ช่วงรอผลจากสายส่ง ก็เป็นช่วงเครียดเงียบๆ เกิดความผิดพลาดขึ้นในระหว่างนี้ ทำให้เกิดอาการหมดความมั่นใจในอีเมล์กันไปเลย เมื่ออมรินทร์ตอบรับจะเป็นสายส่งให้ก็แทบเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืน ^^
จากนั้นก็เริ่มอาการเครียดใหญ่ๆ อีก ตอนขอ ISBN จากหอสมุดแห่งชาติ เขาแจ้งว่าเราใช้คำว่า "สำนักพิมพ์" ไม่ได้เนื่องจากไม่มีการจดทะเบียน อ้าว...ก็ที่เคยรับรู้มาเขาบอกว่าไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้นิ งั้นจดก็จด คงไม่จดเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน เพราะนิติบุคคลพวกนี้มีข้อยุ่งยากในเรื่องของการจ่ายภาษีที่จะต้องมีการจ้างนักทำบัญชีมาทำเรื่องให้ สำนักพิมพ์เต่าตัวโตอาจได้ออกหนังสือเพียงแค่ปีละ 1-2 เล่ม ถ้าทำแบบนั้นจะใหญ่โตเกินกว่าจะรับไหว
ตอนนั้นบ่าย 3 กว่า เช็คในเว็บหาข้อมูล เขาว่าจดเป็นทะเบียนพาณิชย์ก็ได้ เลยลองโทรไปที่อบจ กับอบต ไม่มีคนรับ -_-' หลังจากนี้เหมือนจะโทรไปที่หน่วยงานเกี่ยวกับการจดทะเบียนการค้าอะไรสักอย่าง จำไม่ได้ เพื่อขอคำแนะนำ คนรับโทรศัพท์เหมือนไม่อยากทำงาน เขาบอกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจนัก เขาบอกว่าถ้าจะจดสำนักพิมพ์ต้องไปถามกระทรวงวัฒนธรรมก่อน
กรี๊ดดดดดดด อะไรกันเนี่ย มันชักจะไปกันใหญ่โต แค่สำนักพิมพ์เนี่ยนะ แทบอยากไขก๊อกคลายเครียดด้วยการร้องไห้
พอตกเย็นปรึกษาแฟน นึกออกว่าน้องแถวบ้านเคยบอกว่าเขาจดทะเบียนสำนักพิมพ์นิ เลยไปถาม เขาบอกว่าจดเป็นทะเบียนพาณิชย์ที่ อบจ ก็พอ เช้าขึ้นขับรถไปกับแฟน (ที่ลาหยุดหนึ่งวัน) ไปที่ อบจ จังหวัดที่เราอยู่ ขับหลงวนไปวนมากว่าจะเจอ พอเข้าไปถึงเขาบอกว่เพิ่งจะย้ายการจดทะเบียนพาณิชย์ไปให้กับ อบต จัดการเมื่อเดือนมกราฯ ที่ผ่านมานี่เอง (ตอนไปติดต่อเดือนกุมภาฯ) ปาดเหงื่ออีก 1 ปืด
..แล้วก็ขับรถไปที่ อบต พอเข้าไปแจ้งว่าจะจดทะเบียนสำนักพิมพ์ คำแรกที่เขาบอกแทบจะล้มตึง เขาบอกว่าไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้เพราะเราไม่ได้มีหน้าร้าน ถ้าไปเองคนเดียวฉันคงขอบคุณเขาแล้วกลับบ้าน แต่แฟนก็ย้ำแบบเรียบๆ ว่าหอสมุดฯ เขาให้จด จนในที่สุดทางเจ้าหน้าที่ก็โทรปรึกษาคนอื่นแล้วก็จดให้เรา ค่าจดทะเบียน 50 บาท
ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกลับบ้าน จะได้เริ่มขั้นตอนอื่นซะที
แล้วก็เป็นการจัดการเรื่องเอกสารสัญญากับอมรินทร์ที่ไม่ค่อยมีปัญหานักเนื่องจากโทรไปปรึกษากับคุณตั้มกับคุณปลา (ขออนุญาตเอ่ยชื่อนะคะ) เขาก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
ที่เครียดอีกอย่างก็ทางโรงพิมพ์ เนื่องจากต้องมีการตรวจปรู๊ฟแบบดิจิตอลรอบสุดท้ายก่อนส่งพิมพ์จริง ช่วงนี้เครียดเป็นส่วนตัว เพราะหากว่าพิมพ์เป็นเล่มแล้ว เกิดมีเนื้อหาผิดพลาดอะไรมันก็จะผนึกแน่นอยู่ในเล่มแบบแก้ไม่ได้ จนกว่าจะมีการพิมพ์ครั้งใหม่ (ถ้าขายดีนะ :-) พยายามอ่านอีกรอบ พยายามหาข้อบกพร่องให้เจอ แล้วก็แก้อีกนิดหน่อย
หนังสือเล่มนี้รูปภาพเยอะมากกกกก เครื่องคอมที่ใช้ก็แค่โน้ตบุ๊คเล็กๆ เครื่องหนึ่งที่แม้จะเป็น Core i5 แต่การทำงานช่างเชื่องช้าเอามากๆ กว่าจะ export ไฟล์เป็น pdf ได้ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเมื่อมีแก้ไขก็ต้อง export ใหม่
ทางโรงพิมพ์ภาพพิมพ์ที่ติดต่อด้วยเขาก็ใจดีส่งเมสเซนเจอร์มารับส่งงานไกลถึงชายแดนกรุงเทพฯ อย่างเราหลายครั้ง ช่วงนี้เครียดอีกตอนรอหนังสือไปส่งที่อมรินทร์ ตอนโอนเงินค่าพิมพ์ครึ่งแรกให้ก็ใจหายวาบ
มาถึงตอนนี้ เมื่อหนังสือวางแผง ก็ยังคงเครียดอีกเช่นเดิม ไม่กล้าไปเดินร้านหนังสือ กลัวจะเห็นปกหนังสือของตัวเอง กลัวคนอ่านจะไม่ชอบ กลัวโน่นนี่นั่นอีกมากมาย
ที่สำคัญคือกลัวว่ายังมีข้อผิดพลาดที่เรามองข้ามไป แล้วไปเห็นอีกครั้งตอนนี้
จริงๆ นะ แทบไม่อยากเปิดหนังสือตัวเองออกดูเลย >___<
หมายเหตุส่งท้าย : แต่ก็ยังไม่เข็ด ช่วงนี้กำลังลองทำสมุดแบบใหม่ๆ อยู่ถ้าได้ผลดีก็อาจมีเล่ม 2 ตามมา อาจมีปรับปรุงการนำเสนอ และอาจเป็นอะไรอีกหลายอย่าง
โครงการเล่มนี้เริ่มมานานเกือบปี จุดเริ่มต้นจริงๆ ก็คืออยากฝึกเย็บสมุดทำมือ ครูคนแรกที่ไปเรียนก็คือคุณปู พิณประภา ขัณธวุธ กลับจากเรียนครั้งนั้นก็แทบไม่ได้แตะงานด้านนี้เพราะติดงานอื่น จนในที่สุดก็กลับมาจับงานเย็บสมุดอีกครั้ง คราวนี้จริงจังขึ้น ไปหาซื้ออุปกรณ์ที่สำเพ็ง (เดินกันจนปรุ) ได้ไปเข้าคอร์สกับคุณรีฟ 2 ครั้ง และได้ลองหาทางเรียนรู้เองจากเว็บกับหนังสือต่างประเทศที่มีอยู่เยอะแยะมากมาย ทั้งยังสงสัยว่าทำไมไม่มีหนังสือภาษาไทยในเรื่องนี้บ้าง คุยกับแฟนเรื่องนี้จนพัฒนากลายเป็นการทำหนังสือสอนการเย็บสมุดกับเขาสักเล่ม ที่อยากพิมพ์เองเพราะอยากตั้งสำนักพิมพ์มานานแต่ไม่รู้จะทำหนังสือเรื่องอะไรดีน่ะสิ
พอได้ลงมือทำหนังสือแล้วจึงได้รู้ว่าทำไมจึงไม่มีหนังสือภาษาไทย จากนั้นความเครียดจึงเริ่มต้นจากระดับน้อยๆ จนถึงระดับใหญ่ๆ
ฉันเริ่มด้วยการลองทำตาม How To ของหนังสือหรือเว็บต่างๆ จนแน่ใจว่าทำได้แน่ จึงเก็บแบบสมุดนั้นไว้ในรายการที่จะทำลงหนังสือ พร้อมเขียนบันทึกและหมายเหตุต่างๆ เกี่ยวกับการทำสมุดเล่มนั้นไว้กันลืม จากนั้นก็มาลงคะแนนว่าเล่มไหนจะได้ไปโชว์ตัวในหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์ "เต่าตัวโต" และกำหนดหัวข้อของหนังสือกัน
ก่อนที่จะลงมือถ่ายภาพฉันก็ต้องทดลองทำสมุดแบบนั้นจนคล่อง แล้วจึงถ่ายภาพ แต่ถึงอย่างนั้นปัญหาก็ยังมีมา ในระหว่างถ่ายภาพหรือหลังจากนั้นฉันอาจไปค้นพบวิธีการอื่นที่ง่ายกว่าหรือน่าสนใจกว่าในการทำสมุด ฉันก็ต้องย้อนกลับมาถ่ายภาพใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
เนื้อหาอีกเช่นกัน มีการแก้ไขปรับปรุงหลายครั้ง ในเรื่องของปกสมุดที่ทำจากกระดาษแข็งหุ้มปก ตอนแรกก็ตั้งใจจะทำเป็นหัวข้อพื้นฐานการทำงาน แต่เมื่อทำๆ ไปก็พบว่าปกสมุดนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ตายตัว อย่างในหนังสือก็มีทั้งปกกระดาษแข็ง ปกกระดาษแข็งหุ้มด้วยผ้า ปกหนังเทียม ปกผ้าสักหลาด จริงๆ แล้วในเรื่องของปกนั้นผู้ทำมีอิสระเต็มที่ในการเลือก คุณอาจทำเป็นปกพลาสติกจากแฟ้มเก่า ทำจากกระดาษลัง ทำจากไม้ ทำจากขากางเกงยีนส์เก่า หรืออะไรต่างๆ หลากหลาย ดังนั้นฉันจึงไม่ได้แยกการทำปกไว้เป็นหัวข้อต่างหาก เพราะสิ่งที่ต้องการเน้นในหนังสือเล่มนี้คือวิธีการเข้าเล่ม ซึ่งแทบทั้งหมดเป็นการเย็บด้วยการใช้เชือก
การตกแต่งหน้าปกจึงเป็นการสร้างสรรค์ส่วนบุคคลที่มีอิสระในตัวเอง
เมื่อถึงตอนนำมาเขียนประกอบเป็นขั้นตอน เนื่องจากฉันเป็นคนจัดหน้าหนังสือเอง จึงเป็นการจัดหน้าไปพร้อมๆ กับการเขียนขั้นตอนพร้อมหาภาพประกอบ มีบ้างเหมือนกันที่ภาพที่ถ่ายมาตกหล่นขั้นตอนสำคัญไป หรือไม่ชัดเจนนัก ฉันก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่งกับสมุดอีกเล่ม
บางทีมาดูภาพที่ถ่าย มืดไป สว่างไป ฉากไม่สวย ก็ต้องลงมือทำเล่มใหม่เพื่อถ่ายภาพ ภาพที่ถ่ายมารวมๆ กันจึงมีขนาดหลายสิบ GB กันเลยทีเดียว
ที่ยากที่สุดของงานนี้ก็คือการใส่คำอธิบายให้กับแต่ละขั้นตอน นั่นคงเป็นเหตุผลที่ไม่มีหนังสือแนวนี้ออกมาในตลาด ทั้งเนื้อหาที่ยังใหม่ ศัพท์แสงบางอย่างก็ต้องคิดขึ้นกับน้องปลายน้ำ (พิสูจน์อักษร) ว่าเขียนอย่างนี้จะรู้เรื่องมั้ย บางทีน้องเขาก็จะบอกว่าน่าจะเพิ่มหมายเหตุหรือคำอธิบายตรงไหนอีกดี เพื่อให้อ่าน "รู้เรื่อง" และลงมือทำได้จริง
มีช่วงที่งานหยุดชะงักไป นั่นก็คือตอนที่น้ำท่วมใหญ่ปี 54 บ้านฉันก็อยู่ในจุดน้ำท่วมที่สำคัญด้วยเช่นกัน แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับอีกหลายที่ แต่ก็ทำให้ต้องวุ่นวายกับการหนีน้ำกับดูแลแมว พอน้ำลดได้กลับบ้านก็เกิดอาการต่อไม่ติดไปพักหนึ่ง ช่วงนี้เป็นช่วงของการพิสูจน์อักษรของ การแต่งหน้าหนังสือเพิ่ม การส่งงานก็ต้องส่งผ่านบริการไปรษณีย์
ช่วงที่เหนื่อยกับการทำความสะอาดบ้านแทบไม่อยากแตะงานอย่างอื่น แต่ก็เรียกแรงฮึดขึ้นมาอีกรอบ เมื่อแน่ใจว่าเนื้องานเรียบร้อย (แต่ก็ยังประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจว่าจะมีอะไรผิดพลาดในจุดไหนของเนื้อหาหรือไม่) ก็ติดต่อโรงพิมพ์เพื่อขอราคาค่าพิมพ์ และติดต่อสายส่งที่อมรินทร์
ช่วงรอผลจากสายส่ง ก็เป็นช่วงเครียดเงียบๆ เกิดความผิดพลาดขึ้นในระหว่างนี้ ทำให้เกิดอาการหมดความมั่นใจในอีเมล์กันไปเลย เมื่ออมรินทร์ตอบรับจะเป็นสายส่งให้ก็แทบเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืน ^^
จากนั้นก็เริ่มอาการเครียดใหญ่ๆ อีก ตอนขอ ISBN จากหอสมุดแห่งชาติ เขาแจ้งว่าเราใช้คำว่า "สำนักพิมพ์" ไม่ได้เนื่องจากไม่มีการจดทะเบียน อ้าว...ก็ที่เคยรับรู้มาเขาบอกว่าไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้นิ งั้นจดก็จด คงไม่จดเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน เพราะนิติบุคคลพวกนี้มีข้อยุ่งยากในเรื่องของการจ่ายภาษีที่จะต้องมีการจ้างนักทำบัญชีมาทำเรื่องให้ สำนักพิมพ์เต่าตัวโตอาจได้ออกหนังสือเพียงแค่ปีละ 1-2 เล่ม ถ้าทำแบบนั้นจะใหญ่โตเกินกว่าจะรับไหว
ตอนนั้นบ่าย 3 กว่า เช็คในเว็บหาข้อมูล เขาว่าจดเป็นทะเบียนพาณิชย์ก็ได้ เลยลองโทรไปที่อบจ กับอบต ไม่มีคนรับ -_-' หลังจากนี้เหมือนจะโทรไปที่หน่วยงานเกี่ยวกับการจดทะเบียนการค้าอะไรสักอย่าง จำไม่ได้ เพื่อขอคำแนะนำ คนรับโทรศัพท์เหมือนไม่อยากทำงาน เขาบอกด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเต็มใจนัก เขาบอกว่าถ้าจะจดสำนักพิมพ์ต้องไปถามกระทรวงวัฒนธรรมก่อน
กรี๊ดดดดดดด อะไรกันเนี่ย มันชักจะไปกันใหญ่โต แค่สำนักพิมพ์เนี่ยนะ แทบอยากไขก๊อกคลายเครียดด้วยการร้องไห้
พอตกเย็นปรึกษาแฟน นึกออกว่าน้องแถวบ้านเคยบอกว่าเขาจดทะเบียนสำนักพิมพ์นิ เลยไปถาม เขาบอกว่าจดเป็นทะเบียนพาณิชย์ที่ อบจ ก็พอ เช้าขึ้นขับรถไปกับแฟน (ที่ลาหยุดหนึ่งวัน) ไปที่ อบจ จังหวัดที่เราอยู่ ขับหลงวนไปวนมากว่าจะเจอ พอเข้าไปถึงเขาบอกว่เพิ่งจะย้ายการจดทะเบียนพาณิชย์ไปให้กับ อบต จัดการเมื่อเดือนมกราฯ ที่ผ่านมานี่เอง (ตอนไปติดต่อเดือนกุมภาฯ) ปาดเหงื่ออีก 1 ปืด
..แล้วก็ขับรถไปที่ อบต พอเข้าไปแจ้งว่าจะจดทะเบียนสำนักพิมพ์ คำแรกที่เขาบอกแทบจะล้มตึง เขาบอกว่าไม่ต้องจดทะเบียนก็ได้เพราะเราไม่ได้มีหน้าร้าน ถ้าไปเองคนเดียวฉันคงขอบคุณเขาแล้วกลับบ้าน แต่แฟนก็ย้ำแบบเรียบๆ ว่าหอสมุดฯ เขาให้จด จนในที่สุดทางเจ้าหน้าที่ก็โทรปรึกษาคนอื่นแล้วก็จดให้เรา ค่าจดทะเบียน 50 บาท
ถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วกลับบ้าน จะได้เริ่มขั้นตอนอื่นซะที
แล้วก็เป็นการจัดการเรื่องเอกสารสัญญากับอมรินทร์ที่ไม่ค่อยมีปัญหานักเนื่องจากโทรไปปรึกษากับคุณตั้มกับคุณปลา (ขออนุญาตเอ่ยชื่อนะคะ) เขาก็ให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
ที่เครียดอีกอย่างก็ทางโรงพิมพ์ เนื่องจากต้องมีการตรวจปรู๊ฟแบบดิจิตอลรอบสุดท้ายก่อนส่งพิมพ์จริง ช่วงนี้เครียดเป็นส่วนตัว เพราะหากว่าพิมพ์เป็นเล่มแล้ว เกิดมีเนื้อหาผิดพลาดอะไรมันก็จะผนึกแน่นอยู่ในเล่มแบบแก้ไม่ได้ จนกว่าจะมีการพิมพ์ครั้งใหม่ (ถ้าขายดีนะ :-) พยายามอ่านอีกรอบ พยายามหาข้อบกพร่องให้เจอ แล้วก็แก้อีกนิดหน่อย
หนังสือเล่มนี้รูปภาพเยอะมากกกกก เครื่องคอมที่ใช้ก็แค่โน้ตบุ๊คเล็กๆ เครื่องหนึ่งที่แม้จะเป็น Core i5 แต่การทำงานช่างเชื่องช้าเอามากๆ กว่าจะ export ไฟล์เป็น pdf ได้ใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดังนั้นเมื่อมีแก้ไขก็ต้อง export ใหม่
ทางโรงพิมพ์ภาพพิมพ์ที่ติดต่อด้วยเขาก็ใจดีส่งเมสเซนเจอร์มารับส่งงานไกลถึงชายแดนกรุงเทพฯ อย่างเราหลายครั้ง ช่วงนี้เครียดอีกตอนรอหนังสือไปส่งที่อมรินทร์ ตอนโอนเงินค่าพิมพ์ครึ่งแรกให้ก็ใจหายวาบ
มาถึงตอนนี้ เมื่อหนังสือวางแผง ก็ยังคงเครียดอีกเช่นเดิม ไม่กล้าไปเดินร้านหนังสือ กลัวจะเห็นปกหนังสือของตัวเอง กลัวคนอ่านจะไม่ชอบ กลัวโน่นนี่นั่นอีกมากมาย
ที่สำคัญคือกลัวว่ายังมีข้อผิดพลาดที่เรามองข้ามไป แล้วไปเห็นอีกครั้งตอนนี้
จริงๆ นะ แทบไม่อยากเปิดหนังสือตัวเองออกดูเลย >___<
หมายเหตุส่งท้าย : แต่ก็ยังไม่เข็ด ช่วงนี้กำลังลองทำสมุดแบบใหม่ๆ อยู่ถ้าได้ผลดีก็อาจมีเล่ม 2 ตามมา อาจมีปรับปรุงการนำเสนอ และอาจเป็นอะไรอีกหลายอย่าง