ฉันเป็นภูมิแพ้มาตลอดชีวิต มันเปลี่ยนรูปแบบกันไปในช่วงเวลาที่ผ่านมา บางโอกาสก็จะหายไป แต่ก็ไม่ไปไหนไกล มันแค่หลับพักผ่อนก่อนจะออกมาอาละวาดอีกครั้ง
++++++++++++++++
เมื่อตอนเด็ก ฉันจำความทรมานของในช่วงเป็นหอบหืดไม่ได้เลยแม้แต่นิด สิ่งที่จำได้ฝังใจกลับเป็นยาผงสีขาวๆ จากร้านยาจีนร้านหนึ่งแถวพระโขนงที่แม่ไปหาซื้อมาให้กิน ยาผงสีขาวนี่มีรสขม คำว่าขมปี๋คงยังไม่พอ มันขมสุดยอดสำหรับเด็กอายุเลขหลักเดียวอย่างฉัน
วิธีกินคือใช้ช้อนเล็กๆ ตักป้อนใส่โคนลิ้นแล้วกลืนลงไปพร้อมกับน้ำ ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้คงต้องทำสงครามกันกว่าจะยอมกินยานั่น แต่สำหรับฉันที่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย (ฮาอยู่นะกับคำจำกัดความนี้ น่าจะเป็นเด็กดื้อเงียบ จนเป็นยัยป้าหัวรั้น ดื้อด้าน แต่สันนิษฐานว่าดื้อไปก็ไม่ได้อะไร ยังไงก็ต้องกินอยู่ดี ทำให้มันจบๆ กันไป ...นั่นล่ะนิสัยฉัน) ฉันก็เลยกินไปเรื่อยๆ นานนับปี กินกันจากขมลิ้นจนกลายเป็นออกหวานด้วยซ้ำ
นอกจากกินยาขมๆ แล้ว ในเอกสารกำกับยายังมีแต่ข้อห้ามนับหน้ากระดาษ ทั้งห้ามกินโน่นนี่นั่น ที่ก็จำไม่ได้แล้วว่าอะไรบ้าง จำได้แต่ห้ามกินผักผลไม้ที่ขึ้นว่า "แตง" ทุกชนิด อีกอย่างก็คือห้ามหัวเราะห้ามร้องไห้ ...เฮ้ยยยย เด็กนะนั่น จะห้ามยังไง (จำไม่ได้เหมือนกัน 5555)
กินนานจนไม่อยากจำ จนกระทั่งหายจากอาการหอบหืด
++++++++++++++++
แต่ก็นะ ภูมิแพ้ยังไงก็แพ้ไปตลอดชีวิต
ต่อมาในวัยเรียนมัธยม ฉันก็เกิดอาการอื่นมาแทน ก็คือ "อาหารเป็นพิษ" มันไม่ใช่อาการกินอาหารเสียอะไร แต่ถ้าฉันกินอาหารอิ่มแน่นเกินไป ฉันก็จะอ้วก อ้วกจนไม่เหลืออะไรในท้อง แต่ก็ยังไม่หยุด จนกว่าจะได้ยาจากโรงพยาบาล
อาการนี้จำได้แม่น กินอาหารกับคนในครอบครัว คนอื่นไม่เป็นไร มีฉันเนี่ยแหละอ้วกบ่อยมาก ส่วนใหญ่เป็นยามค่ำคืน สมัยก่อนที่บ้านยังพอมีตังค์ เดือดร้อนแม่อีก แม่ต้องพาขึ้นแท็กซี่ไปรพ.เอกชน (แท็กซี่นี่ก็เป็นเอกสิทธิ์เดียวที่ได้ใช้ในช่วงป่วย นอกนั้นรถเมล์จ้า) ไปจนตอนหลังเก็บแผงยาไว้ซื้อพกติดตัว เป็นยาสามัญประจำตัวกันทีเดียว
++++++++++++++++
ต่อมาอาการนี้ก็ห่างหายไป อาการต่อมาก็มาแทนที่ นั่นคือ "ลมพิษเรื้อรัง" เป็นมันตลอด นึกอยากเป็นก็มาให้คันคะเยอกันทั้งเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ
ตอนแรกนึกว่าเกิดจากแพ้อาหาร แต่ไม่ใช่ หลายเช้าที่ไม่ได้กินไรก็คัน ลองไม่กินนี่นั่นโน่น ก็คัน สันนิษฐานไปเรื่อย จนตอนนี้ยาสามัญประจำตัวเปลี่ยนมาเป็นยาแก้แพ้ ซึ่่งกินแล้วง่วงมาก
ยุคลมพิษนี่เป็นยุคที่ฉันทำงาน ดังนั้นการไปนั่งง่วงในที่ทำงานจึงเข้าขั้นหายนะทางอาชีพของฉัน ไม่กินยาก็คัน กินก็ง่วง บางวันหมดฤทธิ์ยา ฉันยังเดินลอยๆ อยู่เลย กินยากันจนเริ่มไม่ง่วงกันล่ะ
มันไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่มันน่ารำคาญจนอยากตายวันละหลายรอบ
จนวันหนึ่ง ฉันมีอันต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับสามีที่ย้ายไปทำงานที่นั่น (ลืมบอก ฉันเป็นคนกทม.เมืองแห่งควันรถ) ฉันก็ยังคงคันคะเยอตลอด ยังคงหายากินตลอดทั้งยาฝรั่งยาจึน ไม่มีอะไรได้ผลแม้แต่น้อย
แล้วโดยไม่รู้ตัว หลังจากไปอยู่ที่นั่น 2-3 ปี (คือจันทบุรี) เมืองที่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม อาการภูมิแพ้ของฉันก็หายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เป็นกระทั่งหวัด
เรื่องหวัดกับฉันก็เป็นของคู่กัน ต้องเป็นอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 เดือน แต่ตอนไปอยู่ต่างจังหวัดฉันไม่เป็นหวัดอีกเลย จนกระทั่งได้ทำงานบริษัทที่นั่นแหละ เข้าไปอุดอู้ในห้องแอร์ หวัดมาในเวลาไม่นาน
ฉันไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นราว 10 ปี อาการภูมิแพ้ก็หายไป
แต่ในที่สุดเราก็ต้องกลับมากทม.อีกครั้ง
++++++++++++++++
หลังจากผ่านไป 3-4 ปี ฉันก็เริ่มมีอาการภูมิแพ้อีกรอบ ครั้งนี้คือผื่นผิวหนัง ดีกว่าลมพิษหน่อยนึงคือมันเป็นตรงไหนก็ตรงนั้น ไม่แผ่กระจายไปทั่วตัวเหมือนลมพิษ แต่ข้อเสียคือมันเป็นถาวร คันมากมาย ถึงขนาดเกาจนได้เลือดยังเคย
รอบนี้ไปหาหมอรพ.ภูมิพล ได้ยามาทา อาการก็ดีขึ้นจนหาย
แล้วฉันก็ประมาท ใช้ชีวิตแก่ๆ ไปตามประสาในบ้านชานเมือง นานๆ เข้าใจกลางกทม.สักครั้งทางรถเมล์ โดยลืมไปว่า ก่อนหน้านี้มลพิษทางอากาศทำให้ฉันเป็นภูมิแพ้มาตลอด
ขนาดตอนเขาเห่อ PM2.5 ฉันยังเฉยๆ เลย คิดว่าไม่ได้ไปเดินถนนทุกวัน ฉันไม่เกี่ยว
ล่าสุดราว 1 เดือนที่ผ่านมา ผื่นผิวหนังก็กลับมา สาหัสกว่าเดิม ตามคอ ตามข้อพับทั้งแขนทั้งขา มือซ้ายอาการหนัก มีผื่นขึ้นตลอด รอบนี้ไม่ได้กินยา ซื้อยามาทา มัน็หายจากตรงนี้ ไปโผล่ตรงโน้น เหมือนวิ่งไล่จับผู้ร้ายยังไงยังงั้น
ฉันจึงนึกออกว่าฉันแพ้อากาศกทม. 55555 เฟอะอะไรอย่างนี้
มาตรการแรกคือหาต้นไม้ดูดอากาศพิษมาปลูก หลังหาข้อมูลมาพักใหญ่ ก็ได้ต้นที่ชอบ นั่นคือเฟิร์น...บอสตั้นเฟิร์น
หลังจากนั้นก็ลองซื้อมาไว้ในบ้าน ...ในบ้านเลยนะ ไม่ใช่นอกบ้าน 2 กระถาง เฟิร์นบอสตั้น 1 กับเฟิร์นก้างปลา 1 วางไว้บนตู้กระจกชั้น 2 กับเก้าอี้ในห้องทำงาน

คืนแรกฉันเจอข้อมูลในเน็ตว่าเฟิร์นสไบนางมีหนอน ม้ายยยยยยยยยยยย
คืนนั้นฉันรีบยกเฟิร์นทั้ง 2 ต้น ลงมาวางบนเก้าอี้กลางห้องที่ไม่ได้ใช้งาน รอดูว่ามีหนอนหรือเปล่า ถ้ามีต้องเห็นขี้หนอนรอบต้น
คืนแรกผ่านไป ...ไม่มี ...ผ่าน
คืนสอง ...ไม่มี ...ผ่าน
คืนสาม ...ไม่มี ...ไม่เห็นขี้หนอน แต่เช้านี้เอง ระหว่างทำความสะอาดรอบต้นเฟิร์น ก็เห็นมัน
มัน...
มัน...
หนอนผีเสื้อนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ ต้นเฟิร์นบอสตัน มันมาให้เห็นทั้งตัวเลยล่ะ
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ในที่สุดโครงการต้นไม้ดูดอากาศพิษก็เป็นอันพับไป ตอนแรกคิดว่าพับเฉพาะเฟิร์น แต่คิดไปคิดมา คนกลัวหนอนแบบฉันไม่เหมาะอย่างมากกับการปลูกต้นไม้ในบ้าน
วันนี้สามีลาหยุด เลยได้กู้ภัยฉุกเฉินมาเก็บหนอนไปวางโคนต้นไม้ กับเอาเฟิร์นออกไปนอกบ้าน ถ้าเป็นวันที่สามีไปทำงาน ...ไม่อยากคิด
++++++++++++++++
เมื่อตอนเด็ก ฉันจำความทรมานของในช่วงเป็นหอบหืดไม่ได้เลยแม้แต่นิด สิ่งที่จำได้ฝังใจกลับเป็นยาผงสีขาวๆ จากร้านยาจีนร้านหนึ่งแถวพระโขนงที่แม่ไปหาซื้อมาให้กิน ยาผงสีขาวนี่มีรสขม คำว่าขมปี๋คงยังไม่พอ มันขมสุดยอดสำหรับเด็กอายุเลขหลักเดียวอย่างฉัน
วิธีกินคือใช้ช้อนเล็กๆ ตักป้อนใส่โคนลิ้นแล้วกลืนลงไปพร้อมกับน้ำ ถ้าเป็นเด็กสมัยนี้คงต้องทำสงครามกันกว่าจะยอมกินยานั่น แต่สำหรับฉันที่เป็นเด็กว่านอนสอนง่าย (ฮาอยู่นะกับคำจำกัดความนี้ น่าจะเป็นเด็กดื้อเงียบ จนเป็นยัยป้าหัวรั้น ดื้อด้าน แต่สันนิษฐานว่าดื้อไปก็ไม่ได้อะไร ยังไงก็ต้องกินอยู่ดี ทำให้มันจบๆ กันไป ...นั่นล่ะนิสัยฉัน) ฉันก็เลยกินไปเรื่อยๆ นานนับปี กินกันจากขมลิ้นจนกลายเป็นออกหวานด้วยซ้ำ
นอกจากกินยาขมๆ แล้ว ในเอกสารกำกับยายังมีแต่ข้อห้ามนับหน้ากระดาษ ทั้งห้ามกินโน่นนี่นั่น ที่ก็จำไม่ได้แล้วว่าอะไรบ้าง จำได้แต่ห้ามกินผักผลไม้ที่ขึ้นว่า "แตง" ทุกชนิด อีกอย่างก็คือห้ามหัวเราะห้ามร้องไห้ ...เฮ้ยยยย เด็กนะนั่น จะห้ามยังไง (จำไม่ได้เหมือนกัน 5555)
กินนานจนไม่อยากจำ จนกระทั่งหายจากอาการหอบหืด
++++++++++++++++
แต่ก็นะ ภูมิแพ้ยังไงก็แพ้ไปตลอดชีวิต
ต่อมาในวัยเรียนมัธยม ฉันก็เกิดอาการอื่นมาแทน ก็คือ "อาหารเป็นพิษ" มันไม่ใช่อาการกินอาหารเสียอะไร แต่ถ้าฉันกินอาหารอิ่มแน่นเกินไป ฉันก็จะอ้วก อ้วกจนไม่เหลืออะไรในท้อง แต่ก็ยังไม่หยุด จนกว่าจะได้ยาจากโรงพยาบาล
อาการนี้จำได้แม่น กินอาหารกับคนในครอบครัว คนอื่นไม่เป็นไร มีฉันเนี่ยแหละอ้วกบ่อยมาก ส่วนใหญ่เป็นยามค่ำคืน สมัยก่อนที่บ้านยังพอมีตังค์ เดือดร้อนแม่อีก แม่ต้องพาขึ้นแท็กซี่ไปรพ.เอกชน (แท็กซี่นี่ก็เป็นเอกสิทธิ์เดียวที่ได้ใช้ในช่วงป่วย นอกนั้นรถเมล์จ้า) ไปจนตอนหลังเก็บแผงยาไว้ซื้อพกติดตัว เป็นยาสามัญประจำตัวกันทีเดียว
++++++++++++++++
ต่อมาอาการนี้ก็ห่างหายไป อาการต่อมาก็มาแทนที่ นั่นคือ "ลมพิษเรื้อรัง" เป็นมันตลอด นึกอยากเป็นก็มาให้คันคะเยอกันทั้งเช้า กลางวัน เย็น ค่ำ
ตอนแรกนึกว่าเกิดจากแพ้อาหาร แต่ไม่ใช่ หลายเช้าที่ไม่ได้กินไรก็คัน ลองไม่กินนี่นั่นโน่น ก็คัน สันนิษฐานไปเรื่อย จนตอนนี้ยาสามัญประจำตัวเปลี่ยนมาเป็นยาแก้แพ้ ซึ่่งกินแล้วง่วงมาก
ยุคลมพิษนี่เป็นยุคที่ฉันทำงาน ดังนั้นการไปนั่งง่วงในที่ทำงานจึงเข้าขั้นหายนะทางอาชีพของฉัน ไม่กินยาก็คัน กินก็ง่วง บางวันหมดฤทธิ์ยา ฉันยังเดินลอยๆ อยู่เลย กินยากันจนเริ่มไม่ง่วงกันล่ะ
มันไม่ใช่โรคที่อันตรายถึงชีวิต แต่มันน่ารำคาญจนอยากตายวันละหลายรอบ
จนวันหนึ่ง ฉันมีอันต้องย้ายไปอยู่ต่างจังหวัดกับสามีที่ย้ายไปทำงานที่นั่น (ลืมบอก ฉันเป็นคนกทม.เมืองแห่งควันรถ) ฉันก็ยังคงคันคะเยอตลอด ยังคงหายากินตลอดทั้งยาฝรั่งยาจึน ไม่มีอะไรได้ผลแม้แต่น้อย
แล้วโดยไม่รู้ตัว หลังจากไปอยู่ที่นั่น 2-3 ปี (คือจันทบุรี) เมืองที่ไม่มีโรงงานอุตสาหกรรม อาการภูมิแพ้ของฉันก็หายไปโดยสิ้นเชิง ไม่เป็นกระทั่งหวัด
เรื่องหวัดกับฉันก็เป็นของคู่กัน ต้องเป็นอย่างน้อยปีละ 2-3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 2 เดือน แต่ตอนไปอยู่ต่างจังหวัดฉันไม่เป็นหวัดอีกเลย จนกระทั่งได้ทำงานบริษัทที่นั่นแหละ เข้าไปอุดอู้ในห้องแอร์ หวัดมาในเวลาไม่นาน
ฉันไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นราว 10 ปี อาการภูมิแพ้ก็หายไป
แต่ในที่สุดเราก็ต้องกลับมากทม.อีกครั้ง
++++++++++++++++
หลังจากผ่านไป 3-4 ปี ฉันก็เริ่มมีอาการภูมิแพ้อีกรอบ ครั้งนี้คือผื่นผิวหนัง ดีกว่าลมพิษหน่อยนึงคือมันเป็นตรงไหนก็ตรงนั้น ไม่แผ่กระจายไปทั่วตัวเหมือนลมพิษ แต่ข้อเสียคือมันเป็นถาวร คันมากมาย ถึงขนาดเกาจนได้เลือดยังเคย
รอบนี้ไปหาหมอรพ.ภูมิพล ได้ยามาทา อาการก็ดีขึ้นจนหาย
แล้วฉันก็ประมาท ใช้ชีวิตแก่ๆ ไปตามประสาในบ้านชานเมือง นานๆ เข้าใจกลางกทม.สักครั้งทางรถเมล์ โดยลืมไปว่า ก่อนหน้านี้มลพิษทางอากาศทำให้ฉันเป็นภูมิแพ้มาตลอด
ขนาดตอนเขาเห่อ PM2.5 ฉันยังเฉยๆ เลย คิดว่าไม่ได้ไปเดินถนนทุกวัน ฉันไม่เกี่ยว
ล่าสุดราว 1 เดือนที่ผ่านมา ผื่นผิวหนังก็กลับมา สาหัสกว่าเดิม ตามคอ ตามข้อพับทั้งแขนทั้งขา มือซ้ายอาการหนัก มีผื่นขึ้นตลอด รอบนี้ไม่ได้กินยา ซื้อยามาทา มัน็หายจากตรงนี้ ไปโผล่ตรงโน้น เหมือนวิ่งไล่จับผู้ร้ายยังไงยังงั้น
ฉันจึงนึกออกว่าฉันแพ้อากาศกทม. 55555 เฟอะอะไรอย่างนี้
มาตรการแรกคือหาต้นไม้ดูดอากาศพิษมาปลูก หลังหาข้อมูลมาพักใหญ่ ก็ได้ต้นที่ชอบ นั่นคือเฟิร์น...บอสตั้นเฟิร์น

คืนแรกฉันเจอข้อมูลในเน็ตว่าเฟิร์นสไบนางมีหนอน ม้ายยยยยยยยยยยย
คืนนั้นฉันรีบยกเฟิร์นทั้ง 2 ต้น ลงมาวางบนเก้าอี้กลางห้องที่ไม่ได้ใช้งาน รอดูว่ามีหนอนหรือเปล่า ถ้ามีต้องเห็นขี้หนอนรอบต้น
คืนแรกผ่านไป ...ไม่มี ...ผ่าน
คืนสอง ...ไม่มี ...ผ่าน
คืนสาม ...ไม่มี ...ไม่เห็นขี้หนอน แต่เช้านี้เอง ระหว่างทำความสะอาดรอบต้นเฟิร์น ก็เห็นมัน
มัน...
มัน...
หนอนผีเสื้อนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ ต้นเฟิร์นบอสตัน มันมาให้เห็นทั้งตัวเลยล่ะ
ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ในที่สุดโครงการต้นไม้ดูดอากาศพิษก็เป็นอันพับไป ตอนแรกคิดว่าพับเฉพาะเฟิร์น แต่คิดไปคิดมา คนกลัวหนอนแบบฉันไม่เหมาะอย่างมากกับการปลูกต้นไม้ในบ้าน
วันนี้สามีลาหยุด เลยได้กู้ภัยฉุกเฉินมาเก็บหนอนไปวางโคนต้นไม้ กับเอาเฟิร์นออกไปนอกบ้าน ถ้าเป็นวันที่สามีไปทำงาน ...ไม่อยากคิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น