จริงๆ แล้วเป็นคนชอบดูหนัง-ซีรี่ส์ ชอบอ่านหนังสือ ชอบเขียนด้วยเลยเขียนบล็อคเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ไว้เยอะพอสมควร มีช่วงหลังๆ นี่แหละ ตั้งแต่มี NetFlix ดูกันแทบจะมาราธอน จนเขียนกันไม่ทัน เลยพาลไม่อยากเขียนซะเลย พยายามกลับมาเขียนอยู่บ้างเหมือนกัน
อีกอย่างคือช่วงหลังๆ เริ่มรู้สึกว่าอยากดูหนังหรืออ่านหนังสือแบบปล่อยใจให้สนุกไปกับมันโดยไม่ต้องเก็บสาระมาเขียนบล็อค ดังนั้นบล็อคก็เลยไปไม่ถึงไหน แล้วเป็นพวกนิสัยเสีย เห็นคนทำอะไรกันเยอะแยะมากมาย ก็เกิดความรู้สึกไม่อยากทำขึ้นมาซะงั้น
ว่าจะมาเขียนเรื่องของตัวเอง ก็สงสัยว่าจะมีคนมาอ่านเหรอ อ่านไปทำไมกัน เอาน่ะ ไม่อ่านก็ไม่เป็นไร บล็อคของเรา ถือว่าเขียนไว้อ่านเองก็ได้
+++++++++++++++++++++++++++++
ณ วันนี้ สถานการณ์ของโลกเข้าสู่ยุคโควิด 19 ที่จู่ๆ ก็ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างกะทันหัน แบบทันทีทันใดจนตั้งตัวแทบไม่ติด จากคนที่ใส่หน้ากากอนามัยไม่ได้ คือใส่แล้วหายใจไม่ออก ในวันนี้ฉันก็ใส่ได้แล้ว
งานเลี้ยงรวมตัวของคนในครอบครัวช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งการขับรถไปห้างเพื่อกินชาผลไม้สักแก้ว ดูราวกับช่วงเวลาในอีกยุคสมัยที่ผ่านมานาน การออกไปไหนมาไหนแบบเสรีกลายเป็นความถวิลหา ทั้งที่ไม่เคยเห็นค่าของมันมาก่อน
โรคระบาดที่รับฟังเลขสถิติในทีวีและเน็ต ที่ดูไกลตัว กลับเข้ามาใกล้โดยฉับพลัน เมื่อมีประกาศจากร้านสะดวกซื้อละแวกบ้าน (แต่ก็ห่างออกไปหลายกิโลเมตรอยู่) ว่ามีพนักงานในร้านคนหนึ่งติดเชื้อโควิด 19
เริ่มออกอาการจิตตกเล็กๆ ยิ่งเฉพาะฉันเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวนิดๆ มาก่อนหน้าสัก 2-3 วัน เป็นๆ หายๆ คือเป็นอาการปกติของฉันแหละถ้าเกิดว่าช่วงไหนท้องไม่ค่อยดี ไม่ได้หนักหนา จริงๆ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่ได้กังวลอะไรเลย
ฉันน่ะ ตัวเองไม่ค่อยห่วงเท่าไรหรอก ด้วยความเป็นเด็กขี้โรค กินยาฉีดยาเข้าโรงพยาบาลกันจนชิน ไม่ห่วงถ้าต้องป่วยหรือแม้แต่ตาย ที่ห่วงทุกวันนี้คือเหล่าแมว 6 ชีวิต ถ้าหากว่าฉันกับสามีเกิดติดเชื้อต้องไปอยู่โรงพยาบาล ใครจะกล้าเข้ามาเลี้ยงแมวให้
ถึงจะมีคนอาสามาเลี้ยง แต่แมวของเราก็เป็นแมวพิเศษ เลี้ยงระบบปิด ไม่คุ้นคนนอก พร้อมจะวิ่งหาที่ซ่อนได้มิดชิดยามเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน อย่าว่าแต่เข้าบ้านเล้ย แค่คนมาส่งของนอกรั้วบ้านก็วิ่งหางฟูเข้าบ้านกันแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++
ณ ตอนนี้เลยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้าน
ขนาดว่าตัวฉันใช้ชีวิตทำงานอยู่บ้านมาหลายปี น่าจะเกือบ 10 ปีด้วยซ้ำ (พูดให้ดูดีว่า "ทำงาน" แต่เวลา 90% คือนั่งๆ นอนๆ ดูหนังอ่านหนังสือ 5555) แต่ก็เริ่มออกอาการอยากพูดคุยกับผนังแล้ว เหมือนเรื่องตลกที่เขาส่งกันน่ะ
"จิตแพทย์บอกว่า ตอนกักตัวถ้าคุยกับผนังหรือเสาไฟ ก็ยังไม่น่ากังวล แต่ถ้าผนังหรือเสาไฟเริ่มตอบกลับได้เมื่อไร ก็ต้องไปหาหมอแล้ว" ประมาณนั้น
เวลาในบ้านเหมือนหยุดนิ่ง จากที่เคยไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บๆ สิ้นสัปดาห์ แป๊บๆ สิ้นเดือน แป๊บๆ ค่าน้ำค่าไฟมารอในตู้ปณ. ตอนนี้เวลาลากผ่านไปอย่างอืดเอื่อย เชื่องช้า
จากที่เคยดูหนังอ่านหนังสือ ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง เพราะมัวแต่ออนไลน์ดูสถานการณ์ หรือเปิดทีวีดูข่าว จนตอนนี้แทบอ้วกออกมาเป็นข่าวโควิดแล้ว ไม่มีอารมณ์อยากอ่านอีกตะหาก
นี่จึงเป็นที่มาของบล็อคนี้ เพื่อเป็นการดึงเอาชีวิตกลับออกมาจากโรคระบาดแห่งยุคที่เหมือนจะครอบงำสติของฉันไว้ทั้งหมด
เหมือนพวกเลิกยา (มั้ง...เพราะที่ฉันเสพติดหนักสุดน่าจะเป็นกาแฟและชา 555) คงต้องหาอะไรทำแทนการออนไลน์ดูข่าว แล้วในหัวก็คิดวนเวียนแต่กับเรื่องพวกนี้
ในตอนนี้ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครที่เราเดินผ่านหรือใกล้ชิดจะมีเชื้อหรือไม่ หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ความระแวดระวังจึงออกอาการคล้ายกับอาการหวาดระแวงปนโรคจิตนิดๆ
...ในความฮามีน้ำตาซ่อนอยู่
ส่งท้าย : เขียนบ่นเรื่องรอบตัวลื่นไหลดีกว่ารีวิวหนังกับหนังสือเยอะเลย 555
อีกอย่างคือช่วงหลังๆ เริ่มรู้สึกว่าอยากดูหนังหรืออ่านหนังสือแบบปล่อยใจให้สนุกไปกับมันโดยไม่ต้องเก็บสาระมาเขียนบล็อค ดังนั้นบล็อคก็เลยไปไม่ถึงไหน แล้วเป็นพวกนิสัยเสีย เห็นคนทำอะไรกันเยอะแยะมากมาย ก็เกิดความรู้สึกไม่อยากทำขึ้นมาซะงั้น
อาหารตุนไว้พอสมควร ไม่เยอะ แต่หนังสือเยอะ เสียตังค์เยอะนะ
เดี๋ยวนี้ 2,000 บาทหมดไป ได้หนังสือมาไม่กี่เล่มเอง
ว่าจะมาเขียนเรื่องของตัวเอง ก็สงสัยว่าจะมีคนมาอ่านเหรอ อ่านไปทำไมกัน เอาน่ะ ไม่อ่านก็ไม่เป็นไร บล็อคของเรา ถือว่าเขียนไว้อ่านเองก็ได้
+++++++++++++++++++++++++++++
ณ วันนี้ สถานการณ์ของโลกเข้าสู่ยุคโควิด 19 ที่จู่ๆ ก็ซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างกะทันหัน แบบทันทีทันใดจนตั้งตัวแทบไม่ติด จากคนที่ใส่หน้ากากอนามัยไม่ได้ คือใส่แล้วหายใจไม่ออก ในวันนี้ฉันก็ใส่ได้แล้ว
เย็บเอง รอดมาได้ 1 ใน 5 พอใช้ไปได้ ซื้อมาใหญ่ไปทุกอัน
งานเลี้ยงรวมตัวของคนในครอบครัวช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ทั้งการขับรถไปห้างเพื่อกินชาผลไม้สักแก้ว ดูราวกับช่วงเวลาในอีกยุคสมัยที่ผ่านมานาน การออกไปไหนมาไหนแบบเสรีกลายเป็นความถวิลหา ทั้งที่ไม่เคยเห็นค่าของมันมาก่อน
โรคระบาดที่รับฟังเลขสถิติในทีวีและเน็ต ที่ดูไกลตัว กลับเข้ามาใกล้โดยฉับพลัน เมื่อมีประกาศจากร้านสะดวกซื้อละแวกบ้าน (แต่ก็ห่างออกไปหลายกิโลเมตรอยู่) ว่ามีพนักงานในร้านคนหนึ่งติดเชื้อโควิด 19
เริ่มออกอาการจิตตกเล็กๆ ยิ่งเฉพาะฉันเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวนิดๆ มาก่อนหน้าสัก 2-3 วัน เป็นๆ หายๆ คือเป็นอาการปกติของฉันแหละถ้าเกิดว่าช่วงไหนท้องไม่ค่อยดี ไม่ได้หนักหนา จริงๆ ถ้าไม่สังเกตก็แทบไม่ได้กังวลอะไรเลย
สั่งซื้อออนไลน์เพราะออกนอกบ้านไม่ได้
อนิจจาเปิดกล่องมา ข้างในก็แตกซะแล้ว
ฉันน่ะ ตัวเองไม่ค่อยห่วงเท่าไรหรอก ด้วยความเป็นเด็กขี้โรค กินยาฉีดยาเข้าโรงพยาบาลกันจนชิน ไม่ห่วงถ้าต้องป่วยหรือแม้แต่ตาย ที่ห่วงทุกวันนี้คือเหล่าแมว 6 ชีวิต ถ้าหากว่าฉันกับสามีเกิดติดเชื้อต้องไปอยู่โรงพยาบาล ใครจะกล้าเข้ามาเลี้ยงแมวให้
ห่วงก็ห่วง บางอารมณ์อยากจับตุ๋นน้ำแดงกินซะ จะได้เลิกป่วน
ถึงจะมีคนอาสามาเลี้ยง แต่แมวของเราก็เป็นแมวพิเศษ เลี้ยงระบบปิด ไม่คุ้นคนนอก พร้อมจะวิ่งหาที่ซ่อนได้มิดชิดยามเมื่อเห็นคนแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน อย่าว่าแต่เข้าบ้านเล้ย แค่คนมาส่งของนอกรั้วบ้านก็วิ่งหางฟูเข้าบ้านกันแล้ว
+++++++++++++++++++++++++++++
ณ ตอนนี้เลยเก็บเนื้อเก็บตัวอยู่กับบ้าน
ขนาดว่าตัวฉันใช้ชีวิตทำงานอยู่บ้านมาหลายปี น่าจะเกือบ 10 ปีด้วยซ้ำ (พูดให้ดูดีว่า "ทำงาน" แต่เวลา 90% คือนั่งๆ นอนๆ ดูหนังอ่านหนังสือ 5555) แต่ก็เริ่มออกอาการอยากพูดคุยกับผนังแล้ว เหมือนเรื่องตลกที่เขาส่งกันน่ะ
"จิตแพทย์บอกว่า ตอนกักตัวถ้าคุยกับผนังหรือเสาไฟ ก็ยังไม่น่ากังวล แต่ถ้าผนังหรือเสาไฟเริ่มตอบกลับได้เมื่อไร ก็ต้องไปหาหมอแล้ว" ประมาณนั้น
เวลาในบ้านเหมือนหยุดนิ่ง จากที่เคยไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แป๊บๆ สิ้นสัปดาห์ แป๊บๆ สิ้นเดือน แป๊บๆ ค่าน้ำค่าไฟมารอในตู้ปณ. ตอนนี้เวลาลากผ่านไปอย่างอืดเอื่อย เชื่องช้า
จากที่เคยดูหนังอ่านหนังสือ ตอนนี้กลายเป็นว่าไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง เพราะมัวแต่ออนไลน์ดูสถานการณ์ หรือเปิดทีวีดูข่าว จนตอนนี้แทบอ้วกออกมาเป็นข่าวโควิดแล้ว ไม่มีอารมณ์อยากอ่านอีกตะหาก
นี่จึงเป็นที่มาของบล็อคนี้ เพื่อเป็นการดึงเอาชีวิตกลับออกมาจากโรคระบาดแห่งยุคที่เหมือนจะครอบงำสติของฉันไว้ทั้งหมด
เหมือนพวกเลิกยา (มั้ง...เพราะที่ฉันเสพติดหนักสุดน่าจะเป็นกาแฟและชา 555) คงต้องหาอะไรทำแทนการออนไลน์ดูข่าว แล้วในหัวก็คิดวนเวียนแต่กับเรื่องพวกนี้
ในตอนนี้ เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าใครที่เราเดินผ่านหรือใกล้ชิดจะมีเชื้อหรือไม่ หรือแม้แต่ตัวเราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ความระแวดระวังจึงออกอาการคล้ายกับอาการหวาดระแวงปนโรคจิตนิดๆ
...ในความฮามีน้ำตาซ่อนอยู่
เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยมีที่ทำงานเต็มร้อยซักครั้ง
หนีไปไหนก็ตามไปด้วยตลอด
ส่งท้าย : เขียนบ่นเรื่องรอบตัวลื่นไหลดีกว่ารีวิวหนังกับหนังสือเยอะเลย 555
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น