Daywatch และ Twilightwatch




หลังจากอ่าน Nightwatch จบไปฉันก็ทิ้งห่างการอ่านหนังสือเล่มต่อไปมานานราวครึ่งปี จนแทบต่อไม่ติด

จริงๆ หลังจากอ่านจบเล่ม Nightwatch ฉันก็เกิดอาการลังเลว่าควรอ่านต่อหรือไม่ ในร้าน หนังสือชุดนี้จัดอยู่ในหมวดของแฟนตาซี (ถ้าจำไม่ผิด) แต่เท่าที่อ่าน เนื้อหาออกจะหนักไปทางปรัชญาเสียมากกว่า ยิ่งต้องผจญกับภาษาที่แปลมาเป็นไทยฉันก็ยิ่งมึนงงหนักขึ้น อ่านแล้วหนักหัวเกินกว่าจะสนุก

แต่ทุกอย่างก็ต้องมีตอนจบ และฉันก็อยากรู้ตอนจบ ก็เลยเช่าหนังสือชุดนี้มาอ่านเพิ่มอีก 2 เล่ม

*****************

อย่างที่เกริ่นไปหนังสือเล่มนี้มีบทสนทนาในเชิงปรัชญามากมาย --ปรัชญาในเรื่องดี-ชั่ว ที่คลุมเครือไม่ชัดเจน ความดีหรือชั่วนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ทั้งยุคสมัย สถานที่ สถานการณ์ มุมมอง ความตั้งใจ

หนังสือบอกเล่าว่าในโลกนี้ในกลุ่มมนุษย์ปกติอย่างเราๆ นั้นมีบุคคลอีกพวกหนึ่งที่มีความสามารถพิเศษเหนือมนุษย์ มีทั้งผู้ใช้มนตรา ผู้วิเศษ แม่มด พ่อมด แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า และอื่นๆ ในพวกเขายังแบ่งออกเป็นฝ่ายมืดและฝ่ายสว่าง เมื่อหลายพันปีก่อนทั้งมืดและสว่างทำสงครามจนเกือบทำลายโลกนี้ลง ดังนั้นจึงมีการลงนามในสัญญาเพื่อสร้างกฎเกณฑ์ที่ยอมรับได้สำหรับทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดสันติ (แบบสงครามเย็น ที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ) และเกิดความสมดุล โดยแต่ละฝ่ายก็จะจัดกองกำลังของตนเองในการจับตาดูอีกฝ่ายไม่ให้ทำผิดกฎ และมีอีกกลุ่มเป็นผู้ตัดสิน

คนของฝ่ายสว่างเรียกกองกำลังของตัวเองว่าไนท์วอทช์ (nightwatch) เนื่องจากเป็นการเฝ้าดูคนฝ่ายมืด มีหัวหน้านามว่า "เกย์ซา" และคนฝ่ายมืดก็ตั้งกองกำลังชื่อว่าเดย์วอทช์ (daywatch) ด้วยเหตุผลเดียวกัน มีหัวหน้าชื่อว่า "ซาบุลอน"

ในเล่ม Nightwatch ผู้นำฝ่ายสว่างได้วางหมากเพื่อทำบางสิ่งให้บรรลุจุดประสงค์ของตนเอง จนฝ่ายไนท์วอทช์ได้เปรียบและสมดุลของอำนาจเริ่มสั่นคลอน ซึ่งอาจนำไปสู่ความพินา่ศ

ในเล่ม Daywatch ฝ่ายมืดได้เริ่มการวางหมากเพื่อตอบโต้และอำนาจของทั้งสว่างและมืดก็กลับเข้าสู่สมดุลอีกครั้ง เราจะได้พบกับมุมมองของฝ่ายมืดผ่านสายตาของแม่มดสาวอลิสาที่เคยเป็นคนโปรดของซาบุลอนมาก่อน แม้ว่าฝ่ายมืดจะทำเรื่องชั่วร้าย แต่พวกเขาก็เหมือนกับพวกที่ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่มีความพยายามจะปิดบังหรือทำเป็นอิดๆ เอื้อนๆ พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อบรรลุความต้องการของตัวเอง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตคนอื่นก็ตา่ม นอกจากนั้นเราก็ยังจะได้พบกับตัวละครอื่นจากด้านมืดและผู้สอบสวนที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนคนกลางหรือผู้พิพากษาที่คอยดูแลให้เกิดความเรียบร้อยของทั้งสองกลุ่ม

และในเล่ม Twilighwatch เราก็ยังเห็นการเล่นเกมกันของหัวหน้าฝ่ายสว่างและฝ่ายมืด เพื่อชิงความได้เปรียบ แต่ในเล่มนี้เราจะได้รับรู้เป็นนัยๆ ถึงสิ่งที่ "คนอีกพวก" เป็น เรื่องราวในเล่มนี้ได้เกิดการค้นพบตำราเวทย์มนต์ลึกลับที่เชื่อกันว่าสามารถเปลี่ยนมนุษย์ธรรมดาให้เป็นคนอีกพวกได้ (ซึ่งตามปกติไม่ได้ ต้องเกิดมาเป็นเลย) มีคนพยายามจะนำมันไปเพื่อเปลี่ยนแปลงมนุษย์ให้กลายเป็นคนอีกพวก ดังนั้นทั้งไนท์วอทช์ เดย์วอทช์ และฝ่ายสืบสวนจึงร่วมมือกันค้นหา

อันทอน โกโรเดทสกี้ ผู้ใช้มนตราระดับไม่สูงไม่ต่ำ เป็นตัวละครหลักในเรื่องนี้ เขาเป็นคนที่เพิ่งเข้ามาในวอทช์และเป็นผู้ที่ยังคงกังขากับประเด็นเรื่องความถูก-ผิด ดี-ชั่ว ความสว่าง-ความมืด ในกลุ่มคนทำงานเขายังถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังระดับต่ำ และมักเป็นสิ่งสะกิดใจทุกครั้งเืมื่อต้องเปรียบเทียบกับภรรยา (สเวตลาน่า) ที่เป็นแม่มดพลังระดับสูง แต่เขามักเป็นคนที่ทำงานได้สำเร็จ นั่นก็เพราะเขาใช้สมองมากกว่ากำลังเพียงอย่างเดียว

ในเล่มต่อไป Lastwatch จะเป็นเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดนี้ ซึ่งฉันก็จะติดตามมันต่อไปเพื่อดูว่าผลสุดท้าย "คนอีกพวก" จะดำรงต่อไปกันอย่างไร

ย่อหน้าสุดท้ายนี้คงต้องบอกว่าความดี-ชั่วยังเป็นเรื่องที่คลุมเครือไม่ชัดเจน คิดว่านั่นเป็นเหตุผลให้ผู้เขียนเรียกพวกเขาว่า ฝ่ายสว่างและฝ่ายมืด แทนที่จะเป็นฝ่ายขาวหรือฝ่ายดำ เพราะในความสว่างก็ยังมีเงามืด และในความมืดก็ยังมีแสงสว่าง ไม่มีอะไรที่สุดโต่งจนแยกไม่ได้




อ่างอิงบทความก่อนหน้าที่เขียนไว้  http://mizshorty153.blogspot.com/2012/07/nightwatch.html


SomewhereOnEarth

เป็นคนชอบหลายอย่าง ทั้งแมว หนังสือ หนัง ซีรี่ส์ เกม ต้นไม้ ถ่ายภาพ วาดรูป ฯลฯ เลยเริ่มต้นทำบล็อกเพื่อเล่าเรื่อง ส่วนหนึ่งเพื่อตัวเอง เพราะเป็นคนขี้ลืม บางเรื่องย้อนกลับมาอ่านยังเหมือนอ่านเรื่องของคนอื่นยังไงยังงั้น อีกส่วนเพื่อแบ่งปันเรื่องราวกับผู้อื่น นอกจากนี้ยังติดตามเราได้ที่ https://www.youtube.com/taotuatoe

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า