หยุดให้เป็น Enough


เป็นเวลานับปีมาแล้วที่ฉันพยายามจัดการกับสมบัติบ้าของฉัน ด้วยการกำจัดมันออกไปจากชีวิต ฉันรู้สึกว่าสัมภาระต่างๆ ประดามีในบ้าน ทั้งเสื้อผ้า ตุ๊กตา ของประดับตกแต่ง สมุด เครื่องใช้ไฮเทค ต้นไม้ ไปจนถึงของไร้ค่าเช่นเศษกระดาษแผ่นสวย เศษผ้าแหว่งวิ่น เส้นเชือกหลากหลาย โบว์ประดับที่มาจากของขวัญ และอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่คอยถ่วงให้ฉันอุ้ยอ้าย

ในวัยที่ไฟยังแรงกว่านี้ สิ่งของเหล่านี้ไม่เป็นภาระ ไปไหนไปด้วยกัน ย้ายบ้านก็หอบหิ้วไปด้วย ขยันจัดเรียงให้เข้าที่ หมั่นซื้อหามาเติมเพิ่ม

มาบัดนี้หลายอย่างเปลี่ยนไป ฉันเริ่มเหนื่อยหน่ายกับภาระทั้งหลายนี้ รวมถึงเมื่อคิดถึงอนาคตข้างหน้าว่ามันจะไปอยู่ที่ไหน เพราะฉันไม่มีลูกไว้ส่งมอบ ถึงจะมีก็ไม่รู้ว่าลูกจะอยากเก็บหรือไม่

ดังนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งฉันจึงเริ่มกำจัด ทั้งขาย บริจาค จ่ายแจก และทิ้ง แต่มันไม่ง่ายเลยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่ตัดสินใจซื้อ

--------

ในยุคที่เราพยายามรณรงค์เรื่องโลกสีเขียว เรากลับทำลายโลกไม่โดยไม่ใส่ใจ โดยการไขว่คว้าหามาครอบครอง ในหนังสือ Enough นี้เราจะเห็นภาพของมนุษย์ผู้บริโภคที่กำลังดึงทึ้งทุกหยาดหยดจากทรัพยากรโลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร ข้าวของเครื่องใช้ที่ไร้ความจำเป็น แม้กระทั่งเรื่องที่เป็นนามธรรมยังดูเหมือนมนุษย์จะบริโภคแบบไม่ยั้งคิด นั่นก็คือข่าวสาร ทางเลือก และความสุข

ทั้งหมดก็เนื่องมาจากคำว่า "การตลาด" ที่คอยกล่อมแกมบังคับให้คน ซื้อ ซื้อ และ "ซื้อ" เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในหนังสือบอกเล่าถึงธุรกิจให้เช่าโกดังเก็บสินค้าส่วนบุคคลที่เติบโตดีมากๆ ในอังกฤษและสหรัฐฯ เนื่องจากผู้คนซื้อของกันจนไม่มีที่จะเก็บ จนต้องไปหาเช่าที่เก็บนอกบ้านกัน

พูดได้คำเดียวว่า โอ้โห...

เราถูกการตลาดจูงใจให้เกิดความอยากได้ อยากทัดเทียมผู้อื่น อยากเป็นเหมือนๆ กับคนในโฆษณา สร้างค่านิยมที่ทำให้เราต้องตกเป็นทาสของความอยาก

เมื่อหันกลับมามองดูตัวเอง ฉันเองก็เคยเป็นเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่อยากแต่งตัวตามแฟชั่น ให้เหมือนกับคนอื่นๆ และเมื่อประเมินดูคร่าวๆ สิ่งของที่ฉันซื้อหามาตลอดชีวิตที่ผ่านมา น่าจะมีมูลค่าหลายแสนบาท โดยที่มีหลายอย่างถูกวางทิ้งไว้เป็นที่เก็บฝุ่นและเป็นของรกๆ ในบ้าน

นั่นน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำงานมานับสิบปีแต่ไม่มีเงินเก็บเป็นกอบเป็นกำ นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่บนโลกนี้

บางทีหนังสือเล่มนี้อาจช่วยกระตุ้นเตือนให้เรารู้ตัว และเท่าทันเล่ห์กลของการตลาดได้ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณนั่นเอง หลายเรืองที่อ่านแล้วก็ต้องเห็นจริงตามที่เขาเขียน

(จะหงุดหงิดกับการอ่านอยู่บ้างก็ตรงสำนวนการแปลที่ช่างอ่านยากจริง ด้วยการแปลแบบตรงภาษาอังกฤษทำให้อ่านบางประโยคก็งงจนต้องอ่านทวนหลายรอบ บางประโยคก็เหมือนขัดแย้งกันเอง สรุปว่าแปลออกมาถูกตามต้นฉบับหรือไม่ก็ไม่แน่ใจ)

ตอนนี้ฉันเองก็ยังซื้ออยู่ตามความจำเป็น แต่พยายามคิดและชั่งใจก่อนซื้อ ฉันยังเป็นมือใหม่ในการทำตัวให้ "พอเพียง" และยังต้องพยายามต่อไป

--------

แม้ถึงตอนนี้ฉันได้กำจัดข้าวของไปมากมาย ก็ยังมีอีกมากที่รอการกำจัด เพียงแต่รอให้ฉันตัดใจได้เสียก่อน แม้จะล่วงเลยมาในวัยนี้ แต่ก็ยังถือว่าโชคดีที่รู้ตัวและเลิกหาซื้อสิ่งของมาสะสมเพิ่ม อย่างน้อยตอนนี้ข้าวของก็จะไม่เพิ่มขึ้นเกินจำเป็นอย่างแน่นอน



ความคิดเห็น