ด้วยความขอบคุณคุณจรัญ หอมเทียนทอง เจ้าของสำนักพิมพ์แสงดาวและนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และพี่มน ซือเจ้แห่งสำนักพิมพ์แสงดาว ทำให้ "เต่าตัวโต" ได้ไปเปิดตัวเปิดบูธเป็นครั้งแรกของสำนักพิมพ์ แม้ว่าคนจะน้อยแต่เราก็ขายได้ในระดับที่น่าพอใจ และได้ประสบการณ์ที่ดีๆ หลากหลายมากมายจากงานครั้งนี้
1. ได้ขายหนังสือ ได้เงิน ...แน่นอนซะเหลือเกิน มาเปิดบูธก็ต้องอยากขายหนังสือได้น่ะสิ วาดฝันไว้ก่อนเปิดงานว่าเอาหนังสือไปแค่อย่างละ 200 เล่ม ถ้าหมดค่อยขนตามไปทีหลัง ที่ไหนได้ ขายได้รวมทั้งหมด 52 เล่ม มีแต่ขนกลับน่ะสิ 5555
ถึงแม้ว่าจะขายได้น้อยมากๆ แต่กลับรู้สึกพอใจในยอดขาย เมื่อเทียบกับบูธอื่นที่เขามีหนังสือหลายเรื่องมากกว่า ฉันขายได้แต่ละเล่มแทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลองกันแล้ว
2. ได้ทำความรู้จักกับนักอ่าน ...มีบางคนมายืนดูแล้วพูดอย่างดีใจว่าอยากได้หนังสือสอนทำสมุดแบบนี้มานานแล้ว มีหลายคนบอกว่าไม่เคยเห็นหนังสือสองเล่มนี้ในร้านหนังสือเลย ง่ะ ได้พูดคุยกับหลายคน ได้รับคำแนะนำมาจากหลายคน ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้แนะนำหลายอย่างให้กับผู้สนใจ บางอย่างก็เรียนรู้ไว้สำหรับไว้ทำหนังสือเล่มต่อไป
ที่สำคัญคือได้เรียนรู้ว่าคราวหน้าทำ "สมุด" ไปขายเยอะๆ ไม่ใช่เอา "สมุด" ไปโชว์แค่อย่างเดียว จริงๆ ในบูธมีขายสมุดทำมือหลายเล่มเชียวนะ แต่คนมักจะไปปิ๊งกับเล่มที่ฉันเอาไว้โชว์น่ะสิ ทำให้ลูกค้าผิดหวังไปหลายคน ครั้งหน้าทำไปขายอย่างเดียวแล้ว ไม่โชว์ล่ะ
3. ได้รู้จักกับนักขายหนังสือมืออาชีพ ...ก็คนขายอยู่บูธข้างๆ กันอ่ะนะ แม้จะเป็นสินค้าแบบเดียวกันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคู่แข่งกัน ยิ่งคนเดินน้อยๆ พอมองไปมองมาเห็นหน้ากันก็ยิ้มให้กัน บางทีก็ช่วยๆ กันดูบูธยามที่เจ้าของไปเดินเล่นหรือไปทำธุระ ได้รู้จักหลายๆ คนถามชื่อเสียงเรียงนามกัน พูดคุยกัน บางทีก็มีคนจากบูธไกลๆ เดินมาเที่ยวชม บ้างก็เป็นเจ้าหน้าที่จัดงาน นานๆ เจอคนแปลกหน้าสักทีก็ดีเหมือนกัน
4. ได้พูดคุย ...ปกติฉันเป็นคนไม่ชอบพูดกับคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ชอบนั่งฟัง (ยกเว้นแต่กับเพื่อนสนิทที่คุยได้เป็นคุ้งเป็นแคว) ยิ่งหลังๆ อยู่แต่บ้านคุยแต่กับแมว วันแรกๆ ที่จัดงานเป็นวันที่ลำบากที่สุดในชีวิตการพูด บางครั้งอยากพูดอยากบอกบางอย่างกับลูกค้า แต่สมองไม่ทำงาน พูดๆ ไปก็ค้างคำพูดไว้เป็นเครื่องหมาย ... (จุด จุด จุด) แล้วจบไม่ลง ลูกค้าก็คงลุ้นให้พูดต่อ แต่ฉันก็จบเอาดื้อๆ อย่างนั้นแหละ วันต่อๆ มาก็เริ่มปรับตัวปรับสมอง เริ่มหาคำพูดมาต่อให้จบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ดีขึ้นกว่าวันแรก
พอถึง 2 วันสุดท้าย ฉันก็เกิดอาการเบื่อการพูดขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่อยากพูดคุยกับใครเลย รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอมีลูกค้ามาสอบถามก็พูดต่อ วิญญาณนักขายเข้าสิง (สิงแค่ครึ่งตัว 5555)
มีลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อเป็นรายสุดท้าย ซื้อไปฉันก็เก็บของไป เขาซื้อหลายอย่าง มาจบที่กระดาษปกรายงานที่เขายืนดูเป็นอย่างแรกแต่ยังไม่ได้เลือก ระหว่างเลือกอย่างอื่นเขาก็มองๆ หากระดาษปกรายงานที่ฉันเก็บแล้ว เขาก็บอกว่า "อ้าวเก็บแล้วเหรอ" ฉันก็บอกว่า "ดูได้นะคะ เดี๋ยวไปหยิบให้" เขาก็บอกว่า "ไม่ต้องก็ได้ครับ" ระหว่างเขาเดินดูฉันก็ยังถาม "หยิบให้ดูได้นะคะ" เขาก็ยิ้มบอกว่า "ไม่เป็นไรครับ" สักพักฉันก็ไปยืนเกาะโต๊ะมองหน้าเขา ยิ้มแล้วถามอีก "ซื้อกระดาษได้นะคะ" เขายิ้มแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรครับที่ห้องยังมีกระดาษอีกหลายแผ่น" ฉันก็ตลกตัวเองเหมือนกัน ปกติเป็นคนไม่ตื้อคน แต่วันนั้นอารมณ์อยากขายจริงๆ ขี้เกียจแบกกลับเยอะ ที่สุดก็ขายกระดาษปกรายงานไม่ได้ แต่ได้ฮาตัวเองอ่ะ
5. ได้เรียนรู้การเตรียมตัวเพื่อไปซื้อของมาขาย ...แม้จะทำรายการซื้อของในแต่ละครั้งติดตัวไป แต่ด้วยความที่ไม่ได้วางแผนถึงจำนวนสินค้าที่ต้องสต๊อกในบูธ ทำให้ฉันต้องเวียนไปหาซื้ออยู่บ่อยๆ อย่างเข็มก็ซื้อหลายรอบ ก็พอซื้อมาเสร็จมานั่งนับๆ พบว่าขายได้กับลูกค้าแค่ไม่กี่คน ต้องออกไปหาซื้ออีก เหตุการณ์เดียวกันเกิดกับเหล็กเจาะกระดาษที่ซื้อจากสำเพ็งมาน้อยเกินไป เลยต้องตระเวนออกหาซื้อแถวบ้านในราคาขายปลีก ครั้งหน้าต้องวางแผนดีๆ ก่อนซื้อล่ะ
6. ได้สอนในเวิร์คชอปทำสมุด ...แม้ว่าจะเย็บสมุดเป็น แม้ว่าจะทำหนังสือทำสมุดมาถึงสองเล่ม แต่การสอนกันตัวต่อตัวเป็นยิ่งกว่ายาขมสำหรับฉันเลยทีเดียว ไม่รู้จะพูดอะไรให้เขาเข้าใจ ไม่รู้ว่าต้องบอกอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าต้องลำดับเรื่องราวอย่างไร ไม่รู้ว่าต้องใช้คำพูดยังไง ต้องขอบคุณสมาชิกจริงๆ ที่อดทนฟังและพยายามทำความเข้าใจ เหนื่อยสาหัสเลยกว่าจะสอนเสร็จแต่ละคน
7. ได้ซื้อหนังสือหลายเล่ม ...คนชอบหนังสือเมื่อจับไปอยู่ในงานเทศกาลขายหนังสือ มีหรือจะพลาดเรื่องซื้อหนังสือกลับมาเป็นของตัวเอง นี่ขนาดหักใจไม่ซื้อหลายเล่ม ก็ยังได้มาหลายเล่ม หมดไปอีก 1500 บาท (โดยประมาณ) แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะได้อ่านเมื่อไร จนวันนี้วันที่ 3 หลังปิดงานก็ยังเก็บข้าวของเข้าที่ไม่หมด พอว่างก็หลับอย่างเดียว ง่วงสะสมมาตั้งแต่จัดงาน ตอนนี้ขอนอนซะให้เข็ดเลย หนังสงหนังสือยังไม่อยากอ่านเลย
8. ได้รู้ว่าถ้ามีบูธครั้งใหม่จะจัดยังไงและทำป้ายอะไรไปติดบ้าง ...ตลอดเวลา 10 วันฉันต้องปรับปรุงบูธอยู่ตลอดเวลา ทั้งการจัดวางของ ทั้งการทำป้ายแนะนำสำนักพิมพ์ ป้ายสอนทำสมุด และอีกจิปาถะที่จัดกันใหม่ได้ตลอด 10 วันของการจัดงาน
ที่สำคัญที่เรียนรู้จากงานนี้ก็คือ ถ้ามีครั้งหน้าฉันต้องให้ป๋าทำโปรแกรมคิดเงินอัตโนมัติมาใช้ในงานขาย ในงานครั้งนี้ฉันใช้เครื่องคิดเลขกดคิดตังค์ที่คิดไปก็ไม่แน่ใจว่าคิดตังค์ให้เขาถูกหรือเปล่า มีเหมือนกันที่กดคิด 2 ครั้ง ตัวเลขออกมาไม่ตรงกัน แทบกรีด โชคดีที่ครั้งนี้ลูกค้าไม่เยอะ แค่ 2 รายมาพร้อมกันฉันก็แทบแย่แล้ว ตกใจตื่นเต้น นึกอะไรไม่ถูก
เหตุตลกครั้งหนึ่งคือช่วงนั้นมีคนมาเดินดูหลายคน ขณะกำลังวุ่นๆ ตอบคำถามลูกค้า ก็มีลูกค้ารายหนึ่งมาซื้อกระดาษปกรายงาน เขาจ่ายเงินเสร็จฉันก็ทอนเงินแล้วกล่าวขอบคุณ น้องเขาก็มองหน้าฉัน ฉันก็มองกลับแบบสมองกลวง สักพักก็กรี๊ด ...กระดาษปกที่เขาซื้อยังอยู่ในมือฉันเลย รีบใส่ถุงให้เขาแทบไม่ทัน น้องเขาก็ยังงงๆ กับฉันอยู่เลย ขอโทษขอโพยอีกเยอะ เอ๋อสุดๆ
9. ได้รู้ว่าแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีมักกะสันเป็นสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากมาก ...วันแรกไปทางราชปรารภ รถติดอยู่ 1 ชั่วโมงในระยะทางไม่ถึง 1 กม. กว่าจะหลุดเข้าไปในถนนเลียบทางรถไฟได้
วันต่อมามาทางรัชดา ผ่านฟอร์จูนก็ขับเลี้ยวซ้ายเข้าเพชรบุรี ไปหาทางกลับรถแล้วเลี้ยวกลับมาทางรัชดาอีกครั้ง เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
วันต่อๆ มาก็เลี้ยวขวาเข้าเพชรบุรีไปหาทางกลับรถกลับมารัชดาอีกรอบ เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
วันต่อมาเลี้ยวขวาเข้าเพชรบุรี ขับไปเลี้ยวขวาที่แยกมักกะสัน เลี้ยวขวาเข้าถนนกำแพงเพชร 7 ขับออกมาทางรัชดาอีกรอบ เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
อีกหลายวันที่มาทางรถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน เดินกันลิ้นห้อยกว่าจะถึงบูธ
วันศุกร์ เอารถมาและพบว่ารถติดสาหัสก่อนเข้าเพชรบุรี ฉันเห็นช่องว่างตรงทางรถไฟที่มีป้ายห้ามกลับรถ ไม่กล้ากลับ กลัวตำรวจซ่อนตัวรอดักจับ ปวดฉี่มากๆ ได้แต่นั่งมองสถานีมักกะสัน แต่เข้าไม่ได้ รถติดอยู่ 1 ชั่วโมงกว่าจะพ้นแยกเลี้ยวเข้าเพชรบุรีได้ โชคดีที่หลังจากนั้นรถไม่ติด เกือบตาย
สองวันสุดท้ายขอแหกกฎหน่อยเถอะ ตรงรางรถไฟนั่นแหละ มีหลายคันกลับรถตรงนั้น เอาก็เอาวะ
วันที่ปวดฉี่น่ะ ได้แต่นั่งคิดว่ามันใช่เรื่องมั้ยนั่น สถานีก็อยู่ตรงนี้ แต่ต้องไปกลับรถไกลๆ เพื่อจะต้องมาออกถนนเส้นเดิมแล้วเลี้ยวเข้าสถานีน่ะ ตอนทำสถานีทำไมไม่วางแผนให้คนเข้าไปได้ง่ายๆ กว่านี้สักหน่อย เราต้องมานั่งรถติดมองสถานีตาปริบๆ เปลืองทั้งเวลาและน้ำมัน
งานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยต้องขอขอบคุณน้ำใจของหลายท่าน ทั้งพี่สาว+พี่เขยที่อุตสาห์ขนโต๊ะพับมาให้ยืมถึงที่ เพราะเราไม่มีรถใหญ่ไปขน พี่มนแห่งแสงดาว ที่ให้ยืมโต๊ะทั้งหมด 3 ตัว และอาหารกลางวันจากหลานสาว และอีกหลายๆ คนที่ไม่ได้เอ่ยถึง (อิอิ เหมือนไปพูดรับรางวัลออสการ์บนเวทีเลย)
1. ได้ขายหนังสือ ได้เงิน ...แน่นอนซะเหลือเกิน มาเปิดบูธก็ต้องอยากขายหนังสือได้น่ะสิ วาดฝันไว้ก่อนเปิดงานว่าเอาหนังสือไปแค่อย่างละ 200 เล่ม ถ้าหมดค่อยขนตามไปทีหลัง ที่ไหนได้ ขายได้รวมทั้งหมด 52 เล่ม มีแต่ขนกลับน่ะสิ 5555
ถึงแม้ว่าจะขายได้น้อยมากๆ แต่กลับรู้สึกพอใจในยอดขาย เมื่อเทียบกับบูธอื่นที่เขามีหนังสือหลายเรื่องมากกว่า ฉันขายได้แต่ละเล่มแทบจะปิดซอยเลี้ยงฉลองกันแล้ว
2. ได้ทำความรู้จักกับนักอ่าน ...มีบางคนมายืนดูแล้วพูดอย่างดีใจว่าอยากได้หนังสือสอนทำสมุดแบบนี้มานานแล้ว มีหลายคนบอกว่าไม่เคยเห็นหนังสือสองเล่มนี้ในร้านหนังสือเลย ง่ะ ได้พูดคุยกับหลายคน ได้รับคำแนะนำมาจากหลายคน ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ได้แนะนำหลายอย่างให้กับผู้สนใจ บางอย่างก็เรียนรู้ไว้สำหรับไว้ทำหนังสือเล่มต่อไป
ที่สำคัญคือได้เรียนรู้ว่าคราวหน้าทำ "สมุด" ไปขายเยอะๆ ไม่ใช่เอา "สมุด" ไปโชว์แค่อย่างเดียว จริงๆ ในบูธมีขายสมุดทำมือหลายเล่มเชียวนะ แต่คนมักจะไปปิ๊งกับเล่มที่ฉันเอาไว้โชว์น่ะสิ ทำให้ลูกค้าผิดหวังไปหลายคน ครั้งหน้าทำไปขายอย่างเดียวแล้ว ไม่โชว์ล่ะ
3. ได้รู้จักกับนักขายหนังสือมืออาชีพ ...ก็คนขายอยู่บูธข้างๆ กันอ่ะนะ แม้จะเป็นสินค้าแบบเดียวกันแต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นคู่แข่งกัน ยิ่งคนเดินน้อยๆ พอมองไปมองมาเห็นหน้ากันก็ยิ้มให้กัน บางทีก็ช่วยๆ กันดูบูธยามที่เจ้าของไปเดินเล่นหรือไปทำธุระ ได้รู้จักหลายๆ คนถามชื่อเสียงเรียงนามกัน พูดคุยกัน บางทีก็มีคนจากบูธไกลๆ เดินมาเที่ยวชม บ้างก็เป็นเจ้าหน้าที่จัดงาน นานๆ เจอคนแปลกหน้าสักทีก็ดีเหมือนกัน
4. ได้พูดคุย ...ปกติฉันเป็นคนไม่ชอบพูดกับคนแปลกหน้ามาแต่ไหนแต่ไร ชอบนั่งฟัง (ยกเว้นแต่กับเพื่อนสนิทที่คุยได้เป็นคุ้งเป็นแคว) ยิ่งหลังๆ อยู่แต่บ้านคุยแต่กับแมว วันแรกๆ ที่จัดงานเป็นวันที่ลำบากที่สุดในชีวิตการพูด บางครั้งอยากพูดอยากบอกบางอย่างกับลูกค้า แต่สมองไม่ทำงาน พูดๆ ไปก็ค้างคำพูดไว้เป็นเครื่องหมาย ... (จุด จุด จุด) แล้วจบไม่ลง ลูกค้าก็คงลุ้นให้พูดต่อ แต่ฉันก็จบเอาดื้อๆ อย่างนั้นแหละ วันต่อๆ มาก็เริ่มปรับตัวปรับสมอง เริ่มหาคำพูดมาต่อให้จบได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ก็ดีขึ้นกว่าวันแรก
พอถึง 2 วันสุดท้าย ฉันก็เกิดอาการเบื่อการพูดขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่อยากพูดคุยกับใครเลย รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่พอมีลูกค้ามาสอบถามก็พูดต่อ วิญญาณนักขายเข้าสิง (สิงแค่ครึ่งตัว 5555)
มีลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อเป็นรายสุดท้าย ซื้อไปฉันก็เก็บของไป เขาซื้อหลายอย่าง มาจบที่กระดาษปกรายงานที่เขายืนดูเป็นอย่างแรกแต่ยังไม่ได้เลือก ระหว่างเลือกอย่างอื่นเขาก็มองๆ หากระดาษปกรายงานที่ฉันเก็บแล้ว เขาก็บอกว่า "อ้าวเก็บแล้วเหรอ" ฉันก็บอกว่า "ดูได้นะคะ เดี๋ยวไปหยิบให้" เขาก็บอกว่า "ไม่ต้องก็ได้ครับ" ระหว่างเขาเดินดูฉันก็ยังถาม "หยิบให้ดูได้นะคะ" เขาก็ยิ้มบอกว่า "ไม่เป็นไรครับ" สักพักฉันก็ไปยืนเกาะโต๊ะมองหน้าเขา ยิ้มแล้วถามอีก "ซื้อกระดาษได้นะคะ" เขายิ้มแล้วบอกว่า "ไม่เป็นไรครับที่ห้องยังมีกระดาษอีกหลายแผ่น" ฉันก็ตลกตัวเองเหมือนกัน ปกติเป็นคนไม่ตื้อคน แต่วันนั้นอารมณ์อยากขายจริงๆ ขี้เกียจแบกกลับเยอะ ที่สุดก็ขายกระดาษปกรายงานไม่ได้ แต่ได้ฮาตัวเองอ่ะ
5. ได้เรียนรู้การเตรียมตัวเพื่อไปซื้อของมาขาย ...แม้จะทำรายการซื้อของในแต่ละครั้งติดตัวไป แต่ด้วยความที่ไม่ได้วางแผนถึงจำนวนสินค้าที่ต้องสต๊อกในบูธ ทำให้ฉันต้องเวียนไปหาซื้ออยู่บ่อยๆ อย่างเข็มก็ซื้อหลายรอบ ก็พอซื้อมาเสร็จมานั่งนับๆ พบว่าขายได้กับลูกค้าแค่ไม่กี่คน ต้องออกไปหาซื้ออีก เหตุการณ์เดียวกันเกิดกับเหล็กเจาะกระดาษที่ซื้อจากสำเพ็งมาน้อยเกินไป เลยต้องตระเวนออกหาซื้อแถวบ้านในราคาขายปลีก ครั้งหน้าต้องวางแผนดีๆ ก่อนซื้อล่ะ
6. ได้สอนในเวิร์คชอปทำสมุด ...แม้ว่าจะเย็บสมุดเป็น แม้ว่าจะทำหนังสือทำสมุดมาถึงสองเล่ม แต่การสอนกันตัวต่อตัวเป็นยิ่งกว่ายาขมสำหรับฉันเลยทีเดียว ไม่รู้จะพูดอะไรให้เขาเข้าใจ ไม่รู้ว่าต้องบอกอะไรบ้าง ไม่รู้ว่าต้องลำดับเรื่องราวอย่างไร ไม่รู้ว่าต้องใช้คำพูดยังไง ต้องขอบคุณสมาชิกจริงๆ ที่อดทนฟังและพยายามทำความเข้าใจ เหนื่อยสาหัสเลยกว่าจะสอนเสร็จแต่ละคน
7. ได้ซื้อหนังสือหลายเล่ม ...คนชอบหนังสือเมื่อจับไปอยู่ในงานเทศกาลขายหนังสือ มีหรือจะพลาดเรื่องซื้อหนังสือกลับมาเป็นของตัวเอง นี่ขนาดหักใจไม่ซื้อหลายเล่ม ก็ยังได้มาหลายเล่ม หมดไปอีก 1500 บาท (โดยประมาณ) แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะได้อ่านเมื่อไร จนวันนี้วันที่ 3 หลังปิดงานก็ยังเก็บข้าวของเข้าที่ไม่หมด พอว่างก็หลับอย่างเดียว ง่วงสะสมมาตั้งแต่จัดงาน ตอนนี้ขอนอนซะให้เข็ดเลย หนังสงหนังสือยังไม่อยากอ่านเลย
8. ได้รู้ว่าถ้ามีบูธครั้งใหม่จะจัดยังไงและทำป้ายอะไรไปติดบ้าง ...ตลอดเวลา 10 วันฉันต้องปรับปรุงบูธอยู่ตลอดเวลา ทั้งการจัดวางของ ทั้งการทำป้ายแนะนำสำนักพิมพ์ ป้ายสอนทำสมุด และอีกจิปาถะที่จัดกันใหม่ได้ตลอด 10 วันของการจัดงาน
ที่สำคัญที่เรียนรู้จากงานนี้ก็คือ ถ้ามีครั้งหน้าฉันต้องให้ป๋าทำโปรแกรมคิดเงินอัตโนมัติมาใช้ในงานขาย ในงานครั้งนี้ฉันใช้เครื่องคิดเลขกดคิดตังค์ที่คิดไปก็ไม่แน่ใจว่าคิดตังค์ให้เขาถูกหรือเปล่า มีเหมือนกันที่กดคิด 2 ครั้ง ตัวเลขออกมาไม่ตรงกัน แทบกรีด โชคดีที่ครั้งนี้ลูกค้าไม่เยอะ แค่ 2 รายมาพร้อมกันฉันก็แทบแย่แล้ว ตกใจตื่นเต้น นึกอะไรไม่ถูก
เหตุตลกครั้งหนึ่งคือช่วงนั้นมีคนมาเดินดูหลายคน ขณะกำลังวุ่นๆ ตอบคำถามลูกค้า ก็มีลูกค้ารายหนึ่งมาซื้อกระดาษปกรายงาน เขาจ่ายเงินเสร็จฉันก็ทอนเงินแล้วกล่าวขอบคุณ น้องเขาก็มองหน้าฉัน ฉันก็มองกลับแบบสมองกลวง สักพักก็กรี๊ด ...กระดาษปกที่เขาซื้อยังอยู่ในมือฉันเลย รีบใส่ถุงให้เขาแทบไม่ทัน น้องเขาก็ยังงงๆ กับฉันอยู่เลย ขอโทษขอโพยอีกเยอะ เอ๋อสุดๆ
9. ได้รู้ว่าแอร์พอร์ตลิงค์ สถานีมักกะสันเป็นสถานที่ที่เข้าถึงได้ยากมาก ...วันแรกไปทางราชปรารภ รถติดอยู่ 1 ชั่วโมงในระยะทางไม่ถึง 1 กม. กว่าจะหลุดเข้าไปในถนนเลียบทางรถไฟได้
วันต่อมามาทางรัชดา ผ่านฟอร์จูนก็ขับเลี้ยวซ้ายเข้าเพชรบุรี ไปหาทางกลับรถแล้วเลี้ยวกลับมาทางรัชดาอีกครั้ง เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
วันต่อๆ มาก็เลี้ยวขวาเข้าเพชรบุรีไปหาทางกลับรถกลับมารัชดาอีกรอบ เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
วันต่อมาเลี้ยวขวาเข้าเพชรบุรี ขับไปเลี้ยวขวาที่แยกมักกะสัน เลี้ยวขวาเข้าถนนกำแพงเพชร 7 ขับออกมาทางรัชดาอีกรอบ เพื่อเลี้ยวเข้าสถานีมักกะสัน
อีกหลายวันที่มาทางรถตู้ รถเมล์ รถไฟฟ้าใต้ดิน เดินกันลิ้นห้อยกว่าจะถึงบูธ
วันศุกร์ เอารถมาและพบว่ารถติดสาหัสก่อนเข้าเพชรบุรี ฉันเห็นช่องว่างตรงทางรถไฟที่มีป้ายห้ามกลับรถ ไม่กล้ากลับ กลัวตำรวจซ่อนตัวรอดักจับ ปวดฉี่มากๆ ได้แต่นั่งมองสถานีมักกะสัน แต่เข้าไม่ได้ รถติดอยู่ 1 ชั่วโมงกว่าจะพ้นแยกเลี้ยวเข้าเพชรบุรีได้ โชคดีที่หลังจากนั้นรถไม่ติด เกือบตาย
สองวันสุดท้ายขอแหกกฎหน่อยเถอะ ตรงรางรถไฟนั่นแหละ มีหลายคันกลับรถตรงนั้น เอาก็เอาวะ
วันที่ปวดฉี่น่ะ ได้แต่นั่งคิดว่ามันใช่เรื่องมั้ยนั่น สถานีก็อยู่ตรงนี้ แต่ต้องไปกลับรถไกลๆ เพื่อจะต้องมาออกถนนเส้นเดิมแล้วเลี้ยวเข้าสถานีน่ะ ตอนทำสถานีทำไมไม่วางแผนให้คนเข้าไปได้ง่ายๆ กว่านี้สักหน่อย เราต้องมานั่งรถติดมองสถานีตาปริบๆ เปลืองทั้งเวลาและน้ำมัน
งานครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้โดยต้องขอขอบคุณน้ำใจของหลายท่าน ทั้งพี่สาว+พี่เขยที่อุตสาห์ขนโต๊ะพับมาให้ยืมถึงที่ เพราะเราไม่มีรถใหญ่ไปขน พี่มนแห่งแสงดาว ที่ให้ยืมโต๊ะทั้งหมด 3 ตัว และอาหารกลางวันจากหลานสาว และอีกหลายๆ คนที่ไม่ได้เอ่ยถึง (อิอิ เหมือนไปพูดรับรางวัลออสการ์บนเวทีเลย)