แค่ประโยคเปิดเรื่องก็แทบไม่อยากอ่านแล้ว ....
ไม่มีอะไรเหงาไปกว่าแมวตัวหนึ่งซึ่งเคยได้รับความรัก อย่างน้อยก็พักหนึ่ง แล้วจึงถูกทิ้งไว้ข้างถนน...
ด้วยความที่เลี้ยงแมว เกลียดมากกับเรื่องราวคนที่ทิ้งสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าหมาแมวและอื่นๆ ใจมันคงสลาย แล้วนี่อ่านต่อไปใจฉันจะสลายไปด้วยหรือเปล่า นี่มันเรื่องเศร้าใช่มั้ย
แล้วฉันก็อ่านต่อไป--
"ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ" เล่าหลากหลายเรื่องราว ทั้ง จระเข้ คน แมว หมา นกฮัมมิ่งเบิร์ด งูโบราณ ต้นไม้ ครอบครัว ความรัก ความแค้นเคือง การรอคอย โซ่ตรวน ปืน แม่น้ำ เวทมนต์ โอ่งดินเผา
เรื่องราวเล่าตัดสลับไปมาในแต่ละบทสั้นๆ แต่ละหน้าผ่านไปก็ค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาทีละนิด เหมือนยั่วยุให้ติดตามค้นหา เมื่อค้นเจอก็จะพบกับปริศนาชิ้นต่อไปที่อยากติดตามไปเปิด
นานมาแล้วที่ฉันไม่ได้ซื้อหนังสือวรรณกรรมเยาวชนแนวนี้ หลังๆ มานี่อ่านแล้วไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นหรือเปล่า เห็นเล่มนี้ครั้งแรกก็ไม่ค่อยอยากซื้อ จนมาเห็นเป็นหนังสือลดครึ่งราคา จึงเลือกซื้อติดมือกลับบ้านมานอนกองอยู่ในตั้งหนังสือรออ่านอยู่เนิ่นนาน จนเมื่อในที่สุดกองหนังสือเริ่มพร่อง ฉันก็เลือกหยิบเล่มนี้ออกมาอ่าน
วิธีการอ่านหนังสือช่วงหลัง หากว่าเล่มไหนอ่านไปได้สัก 20-30 หน้าแล้วยังไม่สนุก ฉันก็จะเลิกอ่าน รู้สึกเสียเวลาไปกับการต้องทนอ่านส่วนที่เหลือของเล่ม แล้วหนังสือเล่มนั้นก็จะกลายเป็นหนังสือมือสองที่รอขายอยู่ในเว็บต่อไป
กะไว้ว่า "ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ" น่าจะไม่สนุก ที่ไหนได้ พออ่านไปสักพักก็เริ่มติด อย่างที่บอกไปนั่นแหละ มันมีปริศนามากมายปนกับความเศร้า ผู้เขียนใช้คำเขียนบรรยายเรื่องราวได้อย่างดี และผู้แปล (คุณธารพายุ โตวิระ) ก็ถ่ายทอดออกมาดีเช่นกัน ทำให้เนื้อหาน่าติดตามตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย
ช่วงที่เริ่มอ่านเล่มนี้เป็นตอนที่กำลังจะเริ่ม "งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 42" ช่วงเดือนมีนา-เมษา 57 ซึ่งฉันกับสามีต้องไปเปิดบูธของสำนักพิมพ์ตัวเอง ดังนั้นช่วงเวลาแห่งการอ่านจึงสะดุดไม่ต่อเนื่องมากนัก มาช่วงหลังๆ เริ่มทนไม่ได้เลยพกพาไปอ่านที่บูธด้วยซะเลย ตอนอ่านที่บ้านได้ร้องไห้หลายตอน พอไปอยู่บูธต้องกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมาก็หลายครั้ง ช่างทรมานจริงๆ ...นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ไม่อยากอ่านตั้งแต่ต้น เพราะไม่ชอบเรื่องเศร้า (ชีวิตตัวเองก็เศร้ามากพอแล้ว)
ตั้งใจว่าจะทิ้งระยะเวลาไปสักพัก แล้วจะกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งในตอนที่ไม่เร่งรีบ บรรยากาศไม่วุ่นวาย
ผู้เขียนคือ แคที แอปเพลต์ (Kathi Appelt) ตอนตีพิมพ์เล่มนี้เมื่อปี 2008 เธอมีอายุได้ 54 ปี เป็นอาจารย์สอนศิลปะและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ มีผลงานเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก กวี และสารคดี เล่มนี้เป็นนวนิยายเล่มแรก (จากประวัติท้ายเล่ม) ซึ่งก็ทำได้ดีเชียวล่ะ มีเว็บไซต์สำหรับผู้สนใจเข้าไปติดตามได้ที่ http://www.kathiappelt.com/
หน้าปกหนังสือฉบับภาษาอังกฤษน่ารักดีจัง เห็นภาพลูกแมวน้อยกับหมาตัวโต แมวตัวหนึ่งมีรอยเสี้ยวจันทร์บนหน้าผาก
ไม่มีอะไรเหงาไปกว่าแมวตัวหนึ่งซึ่งเคยได้รับความรัก อย่างน้อยก็พักหนึ่ง แล้วจึงถูกทิ้งไว้ข้างถนน...
ด้วยความที่เลี้ยงแมว เกลียดมากกับเรื่องราวคนที่ทิ้งสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าหมาแมวและอื่นๆ ใจมันคงสลาย แล้วนี่อ่านต่อไปใจฉันจะสลายไปด้วยหรือเปล่า นี่มันเรื่องเศร้าใช่มั้ย
แล้วฉันก็อ่านต่อไป--
"ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ" เล่าหลากหลายเรื่องราว ทั้ง จระเข้ คน แมว หมา นกฮัมมิ่งเบิร์ด งูโบราณ ต้นไม้ ครอบครัว ความรัก ความแค้นเคือง การรอคอย โซ่ตรวน ปืน แม่น้ำ เวทมนต์ โอ่งดินเผา
เรื่องราวเล่าตัดสลับไปมาในแต่ละบทสั้นๆ แต่ละหน้าผ่านไปก็ค่อยๆ เปิดเผยเรื่องราวออกมาทีละนิด เหมือนยั่วยุให้ติดตามค้นหา เมื่อค้นเจอก็จะพบกับปริศนาชิ้นต่อไปที่อยากติดตามไปเปิด
นานมาแล้วที่ฉันไม่ได้ซื้อหนังสือวรรณกรรมเยาวชนแนวนี้ หลังๆ มานี่อ่านแล้วไม่ค่อยสนุกสักเท่าไร คงเป็นเพราะอายุมากขึ้นหรือเปล่า เห็นเล่มนี้ครั้งแรกก็ไม่ค่อยอยากซื้อ จนมาเห็นเป็นหนังสือลดครึ่งราคา จึงเลือกซื้อติดมือกลับบ้านมานอนกองอยู่ในตั้งหนังสือรออ่านอยู่เนิ่นนาน จนเมื่อในที่สุดกองหนังสือเริ่มพร่อง ฉันก็เลือกหยิบเล่มนี้ออกมาอ่าน
วิธีการอ่านหนังสือช่วงหลัง หากว่าเล่มไหนอ่านไปได้สัก 20-30 หน้าแล้วยังไม่สนุก ฉันก็จะเลิกอ่าน รู้สึกเสียเวลาไปกับการต้องทนอ่านส่วนที่เหลือของเล่ม แล้วหนังสือเล่มนั้นก็จะกลายเป็นหนังสือมือสองที่รอขายอยู่ในเว็บต่อไป
กะไว้ว่า "ตำนานแห่งป่าอันสาบสูญ" น่าจะไม่สนุก ที่ไหนได้ พออ่านไปสักพักก็เริ่มติด อย่างที่บอกไปนั่นแหละ มันมีปริศนามากมายปนกับความเศร้า ผู้เขียนใช้คำเขียนบรรยายเรื่องราวได้อย่างดี และผู้แปล (คุณธารพายุ โตวิระ) ก็ถ่ายทอดออกมาดีเช่นกัน ทำให้เนื้อหาน่าติดตามตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้าย
ช่วงที่เริ่มอ่านเล่มนี้เป็นตอนที่กำลังจะเริ่ม "งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 42" ช่วงเดือนมีนา-เมษา 57 ซึ่งฉันกับสามีต้องไปเปิดบูธของสำนักพิมพ์ตัวเอง ดังนั้นช่วงเวลาแห่งการอ่านจึงสะดุดไม่ต่อเนื่องมากนัก มาช่วงหลังๆ เริ่มทนไม่ได้เลยพกพาไปอ่านที่บูธด้วยซะเลย ตอนอ่านที่บ้านได้ร้องไห้หลายตอน พอไปอยู่บูธต้องกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมาก็หลายครั้ง ช่างทรมานจริงๆ ...นี่แหละคือเหตุผลที่ทำให้ไม่อยากอ่านตั้งแต่ต้น เพราะไม่ชอบเรื่องเศร้า (ชีวิตตัวเองก็เศร้ามากพอแล้ว)
ตั้งใจว่าจะทิ้งระยะเวลาไปสักพัก แล้วจะกลับมาอ่านใหม่อีกครั้งในตอนที่ไม่เร่งรีบ บรรยากาศไม่วุ่นวาย
ผู้เขียนคือ แคที แอปเพลต์ (Kathi Appelt) ตอนตีพิมพ์เล่มนี้เมื่อปี 2008 เธอมีอายุได้ 54 ปี เป็นอาจารย์สอนศิลปะและการเขียนเชิงสร้างสรรค์ มีผลงานเป็นหนังสือภาพสำหรับเด็ก กวี และสารคดี เล่มนี้เป็นนวนิยายเล่มแรก (จากประวัติท้ายเล่ม) ซึ่งก็ทำได้ดีเชียวล่ะ มีเว็บไซต์สำหรับผู้สนใจเข้าไปติดตามได้ที่ http://www.kathiappelt.com/
หน้าปกหนังสือฉบับภาษาอังกฤษน่ารักดีจัง เห็นภาพลูกแมวน้อยกับหมาตัวโต แมวตัวหนึ่งมีรอยเสี้ยวจันทร์บนหน้าผาก