หลังจากหนังสือ Harry Potter โด่งดัง หนังสือแนวพ่อมดแม่มดและเวทมนต์ก็ออกวางแผงกันมากมาย หลังเรื่อง Twilight ก็มีแต่แนวแวมไพร์ผุดกันมาอีกเป็นกระบุงโกย จนแทบเกิดอาการเกลียดชังหนังสือแม่มดกับแวมไพร์กันไปเลยทีเดียว ดังนั้นปฏิบัติการหาหนังสือแนวลึกลับสอบสวนอ่านของฉันจึงยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก
เคยอ่านหนังสือที่ดูชื่อ ดูปก ก็คิดว่าน่าจะสนุก กลับกลายเป็นหนังสือแนววัยรุ่น (เรื่องย่อหรือคำนำก็แทบไม่บอกอะไรสักเท่าไร ต้องเสี่ยงเอาเอง ไม่ก็ยืนอ่านที่ร้านสัก 1 ตอนก่อนซื้อ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ฉันถนัด) พอได้อ่านฉากต่อสู้ก็แทบเห็นภาพที่ถอดพิมพ์ออกมาจากหนังบู๊ฮอลลีวู๊ดกันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อนำมาเขียนเป็นตัวอักษร ฉันว่ามันไม่สนุกเอาซะเลย
นวนิยายสืบสวนของสวีเดนจึงกลายเป็นทางเลือกใหม่สำหรับฉัน โดยมีสำนักพิมพ์สันสกฤตเป็นผู้แปลและตีพิมพ์ และขอบอกว่าหาซื้อได้ยากมากๆ หากว่าไม่อยากซื้อผ่านเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์เอง และที่สำคัญราคาสูงเอาเรื่องเลยทีเดียว
เนื้อหาและแนวทางในการนำเสนอของนวนิยายสืบสวนสัญชาติสวีเดนนั้นมีความแปลกแตกต่างจากทางฝั่งอเมริกา ไม่เน้นบู๊ตื่นเต้น แต่เน้นในเรื่องราวรายละเอียดที่อยู่รอบข้าง
ในบรรดาทุกเล่มของสวีเดนที่อ่านมา มีเรื่องนี้ที่ตอนจบน่าผิดหวังมากที่สุด เพราะผู้ร้ายแลจะมีเหตุจูงใจที่ธรรมดาเป็นที่สุด เอาเถอะน่า ยังไงก็ยังสนุกอยู่ดี จริงๆ ฉันพอจะเดาๆ คนผิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ก็ยังติดตามอ่านอย่างลุ้นจนจบเล่มก็เพราะความน่าสนใจของตัวละครเองเสียมากกว่า
+++++++++++++++++++++++++++++++
คาร์ล มอร์ก ตำรวจสืบสวนมือเก๋าที่เก่งกว่าหลายๆ คนในสถานีตำรวจแห่งนั้น คดีล่าสุดเขาพลาดถูกยิงบาดเจ็บ เพื่อนในทีมคนหนึ่งตาย อีกคนเป็นอัมพาต เขาจึงแทบไม่เหลือไฟในการทำงาน จนกระทั่งถูกเพื่อนร่วมสถานีและเจ้านายเขี่ยทิ้งให้พ้นหูพ้นตาไปทำงานในแผนกใหม่เอี่ยมอ่องใต้ถุนสถานีตำรวจ เพื่อติดตามสะสางคดีค้างเก่าที่ปิดไม่ลง เขาได้ผู้ช่วยคนหนึ่ง (จริงๆ เป็นคนทำความสะอาดและชงกาแฟ) ชื่ออัสซาด ชาวซีเรียที่ลี้ภัยทางการเมืองมาลงหลักปักฐานที่สวีเดน ด้วยความที่เป็นคนที่กระตือรือร้นและเฉลียวฉลาด อัสซาดจึงเพิ่มหน้าที่ผู้ช่วยนักสืบอีกตำแหน่งให้ตัวเอง และถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยดึงให้คาร์ลขึ้นมาจากหลุมที่เขาฝังตัวเองไว้และยังช่วยเหลือหญิงอีกคนออกจากอีกหลุมได้อีกคนหนึ่ง
หญิงอีกคนเป็นนักการเมืองไฟแรงชื่อว่าเมเรเต้ ลิงการ์ด ที่หายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอยไปเป็นเวลา 5 ปี ด้วยข้อสันนิษฐานว่าเธอตกน้ำตายจากอุบัติเหตุหรือฆ่าตัวตาย แต่เนื่องจากไม่พบศพ คดีจึงปิดไม่ลง ไม่มีใครคาดคิดว่าเมเรเต้นั้นถูกลักพาตัวไปขังไว้ในห้องทึบนั้นเพื่อทรมานเป็นเวลานาน
หนังสือเล่าเรื่องราวสลับตัดไปมาระหว่างคาร์ลในเวลาปัจจุบัน (ปี 2007) กับเมเรเต้ในช่วงเวลาก่อนที่เธอจะหายตัวไปจนกระทั่งถูกขังอยู่ในคุกทรมานแห่งนั้น (2002-2007) อย่างมีรายละเอียด สีสัน และน่าติดตามทีเดียว
เหตุหนึ่งที่ฉันชอบหนังสือแปลจากฝั่งตะวันตกก็คือรายละเอียดในเรื่องราวที่เน้นเหตุและผล ไม่ใช่นึกจะจับตัวละครนี้ไปทำอะไรก็ทำได้เลย เช่น หญิงติดหนวดปลอมเป็นชายอะไรเทือกนั้น แต่ทุกอย่างของเขาต้องดูว่าทำได้มั้ยจากพื้นฐานของกฎหมายในขณะนั้น หรือจำเป็นต้องใช้อะไรถึงทำเช่นนั้นได้
กับนิยายของอีกประเทศที่รายละเอียดพวกนี้เยอะมากก็คือญี่ปุ่น ซึ่งก็เยอะเกินไป บางครั้งดูราวกับอ่านหนังสือคู่มือทฤษฏีอะไรสักอย่าง
+++++++++++++++++++++++++++++++
ระยะหลังๆ การอ่านผ่านแว่นสายตายาว (บวกเอียงไปด้วย) ทำอ่านติดต่อกันนานมากไม่ได้ เมื่อวานที่อ่านเล่มนี้อย่างต่อเนื่องหลายชั่วโมง จึงเกิดอาการปวดหัวหนึบๆ แต่พอเลิกอ่านก็ไม่รู้จะทำอะไร คงด้วยหมดไฟเหมือนกับคาร์ล มอร์กคนนี้เหมือนกัน เดินไปเดินมาไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยหยิบหนังสือมาอ่านอีกจนได้ ในที่สุดหนังสือเล่มหนาหนักก็จบลงได้ในเวลา 2 วัน
เสียดายตรงที่มันจบเร็วจัง แล้วต้องไปหาหนังสือเล่มใหม่อีกแล้วสิเนี่ย เฮ้อ...ปวดหัว จะมีเล่มที่สนุกสำหรับฉันบ้างมั้ยนะ