เมื่อเดือนเมษายน 57 ฉันกับแฟนได้ไปเปิดบูธของสำนักพิมพ์ "เต่าตัวโต" กันเป็นครั้งแรก ทำให้คนได้รู้จักสำนักพิมพ์ของเรามากขึ้น และขายหนังสือได้พอสมควร ไม่ได้มากมายเนื่องจากเป็นหนังสือเฉพาะทาง สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นกับฉันก็คือปรากฎการณ์ "หลับใต้โต๊ะ" ก็เพราะเรานั้นช่างอ่อนด้อยเหลือเกินกับสภาพจราจรในกรุงเทพฯ วันจัดบูธกับวันขายแรกๆ เราเลือกเส้นทางผิดทำให้กลับถึงบ้านเกือบๆ เที่ยงคืน และกว่าจะนอนอีก เช้าก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมาเปิดบูธก่อนรถติด ดังนั้นฉันจึงทั้งง่วงนอนและปวดหัวอย่างหนัก จนต้องลงไปนอนใต้โต๊ะของบูธเพื่อบรรเทาอาการปวดหัว
(แถมพ่วงกับวันจันทร์หนึ่งที่รถติดบนทางด่วนแทบจะตลอดทาง ช่วง 1-2 กม.ก่อนลงทางด่วนพระราม 4 เราใช้เวลาไปเกิน 3 ชั่วโมง จนต้องส่งแฟนนั่งมอร์ไซค์ไปเปิดบูธก่อน กว่าฉันจะพารถยนต์ไปถึงที่จอดรถได้ก็เกือบเที่ยง)
งานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งนี้ฉันจึงพยายามเตรียมตัวเต็มที่ ทั้งศึกษาเส้นทาง ทั้งนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันงาน วันจัดบูธก็ไปกันแต่เช้าตรู่ รีบจัดรีบกลับบ้านมานอน แต่กระนั้นในช่วงวันงานเราก็ต้องตื่นตึ 4 จัดการงานบางอย่าง ต้องออกจากบ้านก่อนตี 5 ครึ่ง ไปถึงลานจอดรถประมาณ 6 โมงเช้า แต่ยังช้ากว่าอีกหลายคันที่ไปถึงก่อน
เรากลับถึงบ้านราว 4 ทุ่มครึ่ง กว่าจะทำโน่นนี่นั่น กว่าจะได้นอนก็ 5 ทุ่มกว่า พอนาฬิกาปลุกก็รู้สึกเหมือนเพิ่งนอนไปเมื่อกี้นี้เอง
วันแรกๆ ที่ไปถึงเราไปเดินตลาดนัดโรงงานยาสูบ แต่พอวันที่ 3 หรือ 4 นี่แหละ ฉันเริ่มไม่ไหว ขอนอนรอในรถ จากนั้นเป็นต้นมา พอรถจอด เรา 2 คนก็หามุมสงบของตัวเองในรถยนต์คันเล็กๆ แล้วหลับจน 7 โมงครึ่ง จึงค่อยไปเดินตลาดนัด วันแรกๆ ฉันหลับๆ ตื่นๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มหลับได้ดีขึ้น จนชักจะดีเกินไปล่ะ ตื่นมากว่าจะรวบรวมสติสตังค์ได้ก็กินเวลาสักพัก
...สภาพร่างกายดีกว่างานครั้งแรก แต่ก็ยังง่วงไม่น้อยเลยในช่วงระหว่างวัน ได้แต่นั่งนับวันรองานวันสุดท้าย รอวันที่ได้กลับไปนอนอืดที่บ้านอีกครั้ง
มันเป็นความง่วงอย่างที่บรรยายไม่ถูก มันจู่โจมเข้ามาแบบตั้งตัวไม่ติด มาแบบกะทันหันไม่บอกล่วงหน้า และสาหัสเอามากๆ ถึงขนาดที่ว่าลุกเดินไปมาในบูธก็ยังไม่ตื่น แถมเดินมากๆ เข้าก็ชักเมื่อยขาเมื่อยเท้า เมื่อยเอามากๆ ช่วงไหนที่คนไม่ค่อยเยอะ เราสองคนก็จะผลัดกันออกไปเดินเล่นดูหนังสือของบูธอื่นเพื่อแก้ง่วง และได้หนังสือติดไม้ติดมือกันมา ทั้งขายทั้งซื้อเลยเชียว
ช่วงนั้นก็ได้หนังสือมาหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อในงาน มาเห็นแล้วพออ่านปกหลังก็ชักสนใจซื้อมาอ่าน วันหนึ่งฉันก็ตัดสินใจเอาเล่มนี้ออกมาอ่านด้วยหวังว่าจะช่วยแก้ง่วงได้ ที่ไหนได้ ยิ่งอ่านยิ่งง่วงเร็วกว่าเก่า แม้ว่าหนังสือจะน่าติดตามก็เถอะ จนต้องยอมแพ้ อ่านไม่ได้แม้แต่การ์ตูนแกะเหลือง (Eat All Day) และต้องเก็บหนังสือทุกเล่มกลับบ้าน
หนังสือเล่มนั้นฉันได้กลับมาอ่านแบบสบายๆ ที่บ้านช่วงฟื้นตัวจากงาน ง่วงก็นอน อ่านไปอ่านมาชักสนุก จนต้องจบเล่มนั้นเมื่อคืนวานนี้เอง
หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "ดินแดนใต้พิภพ" หรือภาษาอังกฤษว่า Never Where เขียนโดยนีล เกแมน นักเขียนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน ครั้งแรกที่อ่านหนังสือเล่มนี้ฉันนึกเสียใจขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าซื้อมาทำไมว้า คิดว่าคงเหมือนกับนิยายวัยรุ่นแฟนตาซีหลายๆ เล่มที่ฉันซื้อมาช่วงหลังๆ ที่มักมีบทบู๊ที่ชวนให้นึกถึงฉากบู๊ในหนังฮอลีวู๊ดที่เมื่อมาโผล่บนหน้าหนังสือ มันกลับไม่สนุกเอาเสียเลย
ครั้นอ่านไปๆ ก็พบว่าหนังสือมีความน่าสนุกและติดตามมากๆ เชียวล่ะ เรื่องของชายหนุ่มที่มีชีวิตปกติในลอนดอน เกิดจับพลัดจับผลูต้องกลับกลายเป็นคน "ลอนดอนล่าง" อันเนื่องมาจากความมีจิตใจดีของเขานั่นเอง เมื่อเขากลายเป็นชาวลอนดอนล่าง ชีวิตก็เหมือนไปอยู่อีกมิติหนึ่งที่ไร้ตัวตนในสายตาของชาวลอนดอนบน ได้พบกับชีวิตแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่นหลากหลายในชีวิตด้านล่าง ได้ผจญภัยในท่อน้ำทิ้งและสถานีรถไฟใต้ดิน
ช่วงแรกๆ ที่อ่าน ฉันรู้สึกสนุกแบบไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ อ่านค่อยๆ เดินทางซึมซับเรื่องราวไปเรื่อยๆ แต่เมื่ออ่านไปช่วงหลังๆ ฉันกลับอยากรู้อยากเห็นตอนจบของหนังสือไปซะนี่ ดังนั้นฉันจึงต้องปิดฉากมันลงโดยเร็ว
จริงๆ ฉันไม่ค่อยชอบชื่อภาษาไทยของหนังสือเล่มนี้นัก ไม่เหมือนชื่อภาษาอังกฤษดูปิดบังให้ค้นหา แต่พอเป็นชื่อภาษาไทยนี่เหมือนบอกเลยว่าหนังสือเกี่ยวกับอะไร หมดกันความลึกลับ
เหมือนว่าสำนักพิมพ์ Word Wonder เจ้าของลิขสิทธิ์ภาษาไทยของหนังสือเล่มนี้ เป็นสำนักพิมพ์ใหม่ มีหนังสือออกมาไม่กี่เล่ม (แต่ก็ยังเยอะกว่าเต่าตัวโตแหละน่า 555) เป็นนวนิยายแปลทั้งหมด และมีหนังสือของนีล เกแมนทั้งหมด 3 เล่ม คาดว่าฉันคงไปซื้อมาอ่านอีกสักเล่ม ...หลังจากที่ฉันจัดการกับหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ หมดแล้วนะ
ส่งท้าย ...วันสุดท้ายเมื่อเก็บของเสร็จ เห็นบูธว่างๆ เหงาๆ ก็ชักรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ฉันกับแฟนมาใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลา 12 วัน (จนเหล่าแมวเริ่มงอนกันถ้วนหน้า) มีทั้งเรื่องสนุก เบื่อ ตื่นเต้น ทุกข์ใจ หัวเราะ น้ำตาร่วง(ตอนหาวมากๆ) นั่งหลับ หลบมุมกินข้าว ฯลฯ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้านะ
(แถมพ่วงกับวันจันทร์หนึ่งที่รถติดบนทางด่วนแทบจะตลอดทาง ช่วง 1-2 กม.ก่อนลงทางด่วนพระราม 4 เราใช้เวลาไปเกิน 3 ชั่วโมง จนต้องส่งแฟนนั่งมอร์ไซค์ไปเปิดบูธก่อน กว่าฉันจะพารถยนต์ไปถึงที่จอดรถได้ก็เกือบเที่ยง)
งานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งนี้ฉันจึงพยายามเตรียมตัวเต็มที่ ทั้งศึกษาเส้นทาง ทั้งนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอก่อนวันงาน วันจัดบูธก็ไปกันแต่เช้าตรู่ รีบจัดรีบกลับบ้านมานอน แต่กระนั้นในช่วงวันงานเราก็ต้องตื่นตึ 4 จัดการงานบางอย่าง ต้องออกจากบ้านก่อนตี 5 ครึ่ง ไปถึงลานจอดรถประมาณ 6 โมงเช้า แต่ยังช้ากว่าอีกหลายคันที่ไปถึงก่อน
เรากลับถึงบ้านราว 4 ทุ่มครึ่ง กว่าจะทำโน่นนี่นั่น กว่าจะได้นอนก็ 5 ทุ่มกว่า พอนาฬิกาปลุกก็รู้สึกเหมือนเพิ่งนอนไปเมื่อกี้นี้เอง
วันแรกๆ ที่ไปถึงเราไปเดินตลาดนัดโรงงานยาสูบ แต่พอวันที่ 3 หรือ 4 นี่แหละ ฉันเริ่มไม่ไหว ขอนอนรอในรถ จากนั้นเป็นต้นมา พอรถจอด เรา 2 คนก็หามุมสงบของตัวเองในรถยนต์คันเล็กๆ แล้วหลับจน 7 โมงครึ่ง จึงค่อยไปเดินตลาดนัด วันแรกๆ ฉันหลับๆ ตื่นๆ แต่พอผ่านไปสักพักก็เริ่มหลับได้ดีขึ้น จนชักจะดีเกินไปล่ะ ตื่นมากว่าจะรวบรวมสติสตังค์ได้ก็กินเวลาสักพัก
...สภาพร่างกายดีกว่างานครั้งแรก แต่ก็ยังง่วงไม่น้อยเลยในช่วงระหว่างวัน ได้แต่นั่งนับวันรองานวันสุดท้าย รอวันที่ได้กลับไปนอนอืดที่บ้านอีกครั้ง
มันเป็นความง่วงอย่างที่บรรยายไม่ถูก มันจู่โจมเข้ามาแบบตั้งตัวไม่ติด มาแบบกะทันหันไม่บอกล่วงหน้า และสาหัสเอามากๆ ถึงขนาดที่ว่าลุกเดินไปมาในบูธก็ยังไม่ตื่น แถมเดินมากๆ เข้าก็ชักเมื่อยขาเมื่อยเท้า เมื่อยเอามากๆ ช่วงไหนที่คนไม่ค่อยเยอะ เราสองคนก็จะผลัดกันออกไปเดินเล่นดูหนังสือของบูธอื่นเพื่อแก้ง่วง และได้หนังสือติดไม้ติดมือกันมา ทั้งขายทั้งซื้อเลยเชียว
ช่วงนั้นก็ได้หนังสือมาหลายเล่ม เล่มหนึ่งที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาซื้อในงาน มาเห็นแล้วพออ่านปกหลังก็ชักสนใจซื้อมาอ่าน วันหนึ่งฉันก็ตัดสินใจเอาเล่มนี้ออกมาอ่านด้วยหวังว่าจะช่วยแก้ง่วงได้ ที่ไหนได้ ยิ่งอ่านยิ่งง่วงเร็วกว่าเก่า แม้ว่าหนังสือจะน่าติดตามก็เถอะ จนต้องยอมแพ้ อ่านไม่ได้แม้แต่การ์ตูนแกะเหลือง (Eat All Day) และต้องเก็บหนังสือทุกเล่มกลับบ้าน
หนังสือเล่มนั้นฉันได้กลับมาอ่านแบบสบายๆ ที่บ้านช่วงฟื้นตัวจากงาน ง่วงก็นอน อ่านไปอ่านมาชักสนุก จนต้องจบเล่มนั้นเมื่อคืนวานนี้เอง
หนังสือเล่มนั้นชื่อว่า "ดินแดนใต้พิภพ" หรือภาษาอังกฤษว่า Never Where เขียนโดยนีล เกแมน นักเขียนที่ฉันไม่เคยรู้จักมาก่อน ครั้งแรกที่อ่านหนังสือเล่มนี้ฉันนึกเสียใจขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าซื้อมาทำไมว้า คิดว่าคงเหมือนกับนิยายวัยรุ่นแฟนตาซีหลายๆ เล่มที่ฉันซื้อมาช่วงหลังๆ ที่มักมีบทบู๊ที่ชวนให้นึกถึงฉากบู๊ในหนังฮอลีวู๊ดที่เมื่อมาโผล่บนหน้าหนังสือ มันกลับไม่สนุกเอาเสียเลย
ครั้นอ่านไปๆ ก็พบว่าหนังสือมีความน่าสนุกและติดตามมากๆ เชียวล่ะ เรื่องของชายหนุ่มที่มีชีวิตปกติในลอนดอน เกิดจับพลัดจับผลูต้องกลับกลายเป็นคน "ลอนดอนล่าง" อันเนื่องมาจากความมีจิตใจดีของเขานั่นเอง เมื่อเขากลายเป็นชาวลอนดอนล่าง ชีวิตก็เหมือนไปอยู่อีกมิติหนึ่งที่ไร้ตัวตนในสายตาของชาวลอนดอนบน ได้พบกับชีวิตแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่นหลากหลายในชีวิตด้านล่าง ได้ผจญภัยในท่อน้ำทิ้งและสถานีรถไฟใต้ดิน
ช่วงแรกๆ ที่อ่าน ฉันรู้สึกสนุกแบบไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ อ่านค่อยๆ เดินทางซึมซับเรื่องราวไปเรื่อยๆ แต่เมื่ออ่านไปช่วงหลังๆ ฉันกลับอยากรู้อยากเห็นตอนจบของหนังสือไปซะนี่ ดังนั้นฉันจึงต้องปิดฉากมันลงโดยเร็ว
จริงๆ ฉันไม่ค่อยชอบชื่อภาษาไทยของหนังสือเล่มนี้นัก ไม่เหมือนชื่อภาษาอังกฤษดูปิดบังให้ค้นหา แต่พอเป็นชื่อภาษาไทยนี่เหมือนบอกเลยว่าหนังสือเกี่ยวกับอะไร หมดกันความลึกลับ
เหมือนว่าสำนักพิมพ์ Word Wonder เจ้าของลิขสิทธิ์ภาษาไทยของหนังสือเล่มนี้ เป็นสำนักพิมพ์ใหม่ มีหนังสือออกมาไม่กี่เล่ม (แต่ก็ยังเยอะกว่าเต่าตัวโตแหละน่า 555) เป็นนวนิยายแปลทั้งหมด และมีหนังสือของนีล เกแมนทั้งหมด 3 เล่ม คาดว่าฉันคงไปซื้อมาอ่านอีกสักเล่ม ...หลังจากที่ฉันจัดการกับหนังสือเล่มอื่นๆ ที่ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ หมดแล้วนะ
ส่งท้าย ...วันสุดท้ายเมื่อเก็บของเสร็จ เห็นบูธว่างๆ เหงาๆ ก็ชักรู้สึกอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา ฉันกับแฟนมาใช้ชีวิตที่นี่เป็นเวลา 12 วัน (จนเหล่าแมวเริ่มงอนกันถ้วนหน้า) มีทั้งเรื่องสนุก เบื่อ ตื่นเต้น ทุกข์ใจ หัวเราะ น้ำตาร่วง(ตอนหาวมากๆ) นั่งหลับ หลบมุมกินข้าว ฯลฯ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้านะ
ขอบคุณที่อ่านหนังสือของเรานะครับ ดีใจครับที่คุณชอบ
ตอบลบยินดีเช่นกันค่ะที่มีคนนำหนังสือดีๆ มาแปลให้อ่านกัน ^_^
ลบ