ตอนสุดท้ายของ Breaking Bad ทำเอาหัวใจสลาย มันเศร้าโคตรๆ เศร้าตั้งแต่เริ่มต้นของตอนสุดท้ายนี้เลย ตอนที่ได้เห็นความทรุดโทรมของวอลเทอร์ ไวท์ และความพยายามครั้งสุดท้ายที่จะแก้ปัญหาที่ตัวเองก่อและตามแก้แค้นคนที่ยังรอด
ทั้งที่ตอนต้นของซีซัน 5 ฉันเริ่มจะออกอาการเบื่อเนื้อหาของซี่รี่ส์เรื่องนี้ ด้วยเหตุผลว่า
> ความดันทุรังของมร.ไวท์ ที่ทำให้หลายคนต้องตาย ทำให้คนใกล้ชิดเดือดร้อน จนน่ารำคาญ
> มร.ไวท์ เป็นคนที่เก่งสุดยอดในการปรุงยา และฉลาดที่สุดในการวางแผนต่างๆ แต่เขากลับดูโง่ในหลายๆ ครั้งเมื่อความโลภเข้าปิดบังสายตา ทำให้นึกถึงเจ้ากอลลัม ใน Lord of the rings ที่หวงแหนแหวนมากๆ จนหน้ามืดตามัว แล้วทำให้เขาเข้าตาจนทุกครั้ง
ในฉากหนึ่งที่ไมค์ เออร์แมนเทราส์ ได้รับการทาบทามจากมร.ไวท์กับเจสซี่ให้มาร่วมงาน เขาบอกว่าเขามองออกว่ามร.ไวท์นี่เป็นตัวปัญหา แม้ว่าเจสซี่จะไม่เห็นก็ตาม
ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ มร.ไวท์คือ ตัวซวย ขนานแท้ ไม่ว่าจะเข้าแก๊งค์ไหน แก๊งค์นั้นล่มจม หัวหน้าแก๊งค์ตาย ไม่มีใครเหลือรอด ตั้งแต่ -เครซี่ 8 - ทูโก ซาลามังก้า - กุสตาโว ฟริงจ์ - ไมค์ เออร์แมนเทราส์ - ลุงแจ๊ค - แฮงค์ ชเรเดอร์ ไม่รอดแม้แต่ซอล กู๊ดแมน ที่ต้องหนีไปใช้ชีวิตอื่น
เจสซี่ ก็เหมือนกัน จากเด็กติดยาธรรมดา โดนดึงให้กลายมาเป็นผู้ผลิตยาและค้ายาระดับประเทศ จนชีวิตที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงอีกมากมาย
แต่กระนั้นหลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้น ก็มีสาเหตุมาจากการที่มร.ไวท์ต้องการปกป้องเจสซี่ ซึ่งก็เป็นตัวสร้างปัญหามาหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากความอ่อนไหวของตัวเอง
เขาผูกพันกับเจสซี่มาก ทั้งปกป้องและเรียกร้องจากเจสซี่จนเกิดขัดแย้งกันหลายครั้ง ครั้งหลังสุดเจสซี่กลายเป็นตัวปัญหากับครอบครัวของเขา จนทำให้จำใจต้องสั่งกำจัดทิ้ง ตรงนี้แหละที่ทำให้ฉันเจ็บปวดไปด้วย เพราะผูกพันกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาตั้งแต่ต้น
บทสรุปในคำสารภาพสุดท้ายของเขาก็คือ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อตัวเอง เพราะเขาชอบ...เพราะเขาทำได้ดี และทำให้เขามีเหมือนมีชีวิต นั่นคือคำตอบของความดันทุรังทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่คนไร้ค่า เป็นครูโรงเรียนที่เด็กๆ ไม่เห็นหัว เป็นสามีที่มีภรรยาคอยคุมแจตลอดเวลา ผลงานก็ถูกหุ้นส่วนครอบครองไปทั้งหมด การเงินก็ย่ำแย่จนต้องไปทำงานพิเศษหลังเลิกงานสอน
เขามีชีวิตอยู่ไปวันๆ จวบจนอายุ 50 เขาในฐานะ มร.ไวท์ ก็กลายเป็น ไฮเซนเบิร์ก มีชื่อเสียงอยู่ในระดับตำนาน คนที่สามารถปรุงยาเสพติดระดับยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นคนที่ฆ่ากุสตาโว ฟริงจ์ พ่อค้ายาระดับประเทศ เป็นคนที่สั่งฆ่าคนในคุกได้ 9 คนภายใน 2 นาทีในเวลาเดียวกัน และเป็นอะไรอีกหลายอย่างที่ มร.ไวท์ เป็นไม่ได้
แต่คำพูดนั้นอาจบรรจุความจริงอยู่ครึ่งเดียว อีกครึ่งเขาพูดไปแล้ว คือทำเพื่อครอบครัว ข้อความสุดท้ายนี้อาจพูดออกไปเพื่อให้ครอบครัวของเขาตัดใจจากเขาได้ง่ายขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วเขาก็ทำเพื่อครอบครัวเป็นอย่างแรกจริงๆ
เขาผูกพันกับเจสซี่ในฐานะเพื่อนสนิทที่เปิดเผยได้ทุกเรื่อง เป็นลูกศิษย์ที่ได้เรื่อง เป็นเหมือนลูกที่เขามีไม่ได้ หลังจากเจสซี่เลิกปรุงยา เขาก็ขาดเพื่อนสนิท ขาดชีวิตชีวา จนทำให้เขาตัดสินใจเลิกทำในที่สุด
+++++++++++++++++++
ฉันเองก็ไม่คิดว่าตัวเองจะผูกพันกับมร.ไวท์และเจสซี่มากขนาดนี้จนกระทั่งตอนจบของซี่รี่ส์ที่ทำให้เราต้องลาจากกัน
รู้สึกเศร้ามากๆ หลังจบฉันต้องหยุดหาดูซี่รี่ส์เรื่องอื่นไปสักระยะ ขอเวลาร่ำลาจากมันเสียก่อน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่เข้าไปพัวพันกับความเลวร้าย จุดจบก็จะไม่สวยงามอย่างแน่นอน และ...
ชีวิตของคนเรามันไม่ได้มีสีขาว-ดำที่เห็นได้ชัดเจน มันเต็มไปด้วยสีเทา ความผิดถูกคลุมเครือ มองออกไม่ชัดเจน บ่อยครั้งที่เราเลือกทางเดินในชีวิตไม่ได้ง่าย มันเต็มไปด้วยปัจจัยซ้อนทับกันไปมา
ทิ้งท้าย : เหมือนเรื่องนี้จะมีตัวละครสกินเฮดกันเยอะมากมาย แม้กระทั่งเจสซี่ ตอนหลังก็โกนหัวกับเขาด้วย
ทั้งที่ตอนต้นของซีซัน 5 ฉันเริ่มจะออกอาการเบื่อเนื้อหาของซี่รี่ส์เรื่องนี้ ด้วยเหตุผลว่า
> ความดันทุรังของมร.ไวท์ ที่ทำให้หลายคนต้องตาย ทำให้คนใกล้ชิดเดือดร้อน จนน่ารำคาญ
> มร.ไวท์ เป็นคนที่เก่งสุดยอดในการปรุงยา และฉลาดที่สุดในการวางแผนต่างๆ แต่เขากลับดูโง่ในหลายๆ ครั้งเมื่อความโลภเข้าปิดบังสายตา ทำให้นึกถึงเจ้ากอลลัม ใน Lord of the rings ที่หวงแหนแหวนมากๆ จนหน้ามืดตามัว แล้วทำให้เขาเข้าตาจนทุกครั้ง
ในฉากหนึ่งที่ไมค์ เออร์แมนเทราส์ ได้รับการทาบทามจากมร.ไวท์กับเจสซี่ให้มาร่วมงาน เขาบอกว่าเขามองออกว่ามร.ไวท์นี่เป็นตัวปัญหา แม้ว่าเจสซี่จะไม่เห็นก็ตาม
ถ้าพูดกันภาษาชาวบ้านก็คือ มร.ไวท์คือ ตัวซวย ขนานแท้ ไม่ว่าจะเข้าแก๊งค์ไหน แก๊งค์นั้นล่มจม หัวหน้าแก๊งค์ตาย ไม่มีใครเหลือรอด ตั้งแต่ -เครซี่ 8 - ทูโก ซาลามังก้า - กุสตาโว ฟริงจ์ - ไมค์ เออร์แมนเทราส์ - ลุงแจ๊ค - แฮงค์ ชเรเดอร์ ไม่รอดแม้แต่ซอล กู๊ดแมน ที่ต้องหนีไปใช้ชีวิตอื่น
เจสซี่ ก็เหมือนกัน จากเด็กติดยาธรรมดา โดนดึงให้กลายมาเป็นผู้ผลิตยาและค้ายาระดับประเทศ จนชีวิตที่เลวร้ายอยู่แล้วยิ่งเลวร้ายลงอีกมากมาย
แต่กระนั้นหลายครั้งปัญหาที่เกิดขึ้น ก็มีสาเหตุมาจากการที่มร.ไวท์ต้องการปกป้องเจสซี่ ซึ่งก็เป็นตัวสร้างปัญหามาหลายต่อหลายครั้ง เนื่องจากความอ่อนไหวของตัวเอง
บทสรุปในคำสารภาพสุดท้ายของเขาก็คือ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อตัวเอง เพราะเขาชอบ...เพราะเขาทำได้ดี และทำให้เขามีเหมือนมีชีวิต นั่นคือคำตอบของความดันทุรังทั้งหมดที่เกิดขึ้น
ก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่คนไร้ค่า เป็นครูโรงเรียนที่เด็กๆ ไม่เห็นหัว เป็นสามีที่มีภรรยาคอยคุมแจตลอดเวลา ผลงานก็ถูกหุ้นส่วนครอบครองไปทั้งหมด การเงินก็ย่ำแย่จนต้องไปทำงานพิเศษหลังเลิกงานสอน
เขามีชีวิตอยู่ไปวันๆ จวบจนอายุ 50 เขาในฐานะ มร.ไวท์ ก็กลายเป็น ไฮเซนเบิร์ก มีชื่อเสียงอยู่ในระดับตำนาน คนที่สามารถปรุงยาเสพติดระดับยอดฝีมือที่ไม่มีใครเทียบได้ เป็นคนที่ฆ่ากุสตาโว ฟริงจ์ พ่อค้ายาระดับประเทศ เป็นคนที่สั่งฆ่าคนในคุกได้ 9 คนภายใน 2 นาทีในเวลาเดียวกัน และเป็นอะไรอีกหลายอย่างที่ มร.ไวท์ เป็นไม่ได้
แต่คำพูดนั้นอาจบรรจุความจริงอยู่ครึ่งเดียว อีกครึ่งเขาพูดไปแล้ว คือทำเพื่อครอบครัว ข้อความสุดท้ายนี้อาจพูดออกไปเพื่อให้ครอบครัวของเขาตัดใจจากเขาได้ง่ายขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วเขาก็ทำเพื่อครอบครัวเป็นอย่างแรกจริงๆ
เขาผูกพันกับเจสซี่ในฐานะเพื่อนสนิทที่เปิดเผยได้ทุกเรื่อง เป็นลูกศิษย์ที่ได้เรื่อง เป็นเหมือนลูกที่เขามีไม่ได้ หลังจากเจสซี่เลิกปรุงยา เขาก็ขาดเพื่อนสนิท ขาดชีวิตชีวา จนทำให้เขาตัดสินใจเลิกทำในที่สุด
+++++++++++++++++++
รู้สึกเศร้ามากๆ หลังจบฉันต้องหยุดหาดูซี่รี่ส์เรื่องอื่นไปสักระยะ ขอเวลาร่ำลาจากมันเสียก่อน
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนที่เข้าไปพัวพันกับความเลวร้าย จุดจบก็จะไม่สวยงามอย่างแน่นอน และ...
ชีวิตของคนเรามันไม่ได้มีสีขาว-ดำที่เห็นได้ชัดเจน มันเต็มไปด้วยสีเทา ความผิดถูกคลุมเครือ มองออกไม่ชัดเจน บ่อยครั้งที่เราเลือกทางเดินในชีวิตไม่ได้ง่าย มันเต็มไปด้วยปัจจัยซ้อนทับกันไปมา
ทิ้งท้าย : เหมือนเรื่องนี้จะมีตัวละครสกินเฮดกันเยอะมากมาย แม้กระทั่งเจสซี่ ตอนหลังก็โกนหัวกับเขาด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น