จบแบบมึนๆ กับสองภาคของหนังสือชุด A Song of Ice And Fire ด้วยหนังสือฉบับแปลจำนวน 4 เล่ม เล่มละ 500 หน้าโดยประมาณ (นั่นคือราว 2 พันหน้า)
ในระหว่างอ่านมีทั้งติดงอมแงม กับเบื่อเข้าเส้น ประมาณ 20-30% เป็นเนื้อหาที่ฉันอ่านข้ามๆ นั่นคือตอนที่กล่าวถึงชื่อของอัศวิน ลอร์ด คนจำนวนมาก ชื่อของหลากหลายอาณาจักร และดินแดน ชื่อพวกนี้โถมถับเข้าใส่จนทั้งสับสนและทั้งอ่านตะลุยผ่าน
ในช่วง 100 หน้าแรกของเล่ม 1 ฉันใช้วิธีเขียนชื่อของแต่ละคนลงในสมุดบันทึกเพื่อช่วยจำ พอเริ่มจำตัวละครหลักๆ ได้แล้วฉันก็เลิกจด หลังจากนั้นพอเจอชื่อที่คุ้นก็ค่อยมาเดาๆ เอาว่าคือใครหว่า??? ชื่อไม่คุ้นก็ข้ามไปเถอะ ไว้อีก 10 ปีตอนหนังสือออกมาครบ และได้เวลาอ่านรอบสองฉันค่อยมาทวนความจำอีกรอบ
ภาคแรก A Game of Thrones หรือ "เกมล่าบัลลังก์" เป็นเนื้อเรื่องหลังจากที่โรเบิร์ต บาราเธียนปกครองบ้านเมืองมาได้สิบกว่าปี หลังจากโค่นล้มกษัตริย์องค์ก่อนลงได้ และเมื่อถึงยุคเสื่อมถอยและราชาโรเบิร์ตสิ้นพระชนม์ จึงเกิดการแย่งชิงบัลลังก์
หนังสือเล่าเรื่องราวจากในแต่ละด้านผ่านมุมมองของตัวละครหลายตัว ทั้งเอ็ดดาร์ด แคตลิน ทีเรียน ซานซา อาร์ยา จอน แบรน และเดแนรีส (ครบหรือเปล่าหว่า)
ต่อภาคสอง A Clash of Kings หรือ "ราชันประจัญพล" ตามชื่อเลย ในเล่มนี้มีหลายคนตั้งตัวเป็นพระราชาออกทำศึกเพื่อชิงดินแดน มุมมองของเล่มนี้จะเพิ่มและลดลงตามเนื้อเรื่อง ได้แก่ แคตลิน ทีเรียน ซานซา อาร์ยา จอน แบรน และเดแนรีส เพิ่มธีออน ดาวอส ขึ้นมาแทน เอ็ดดาร์ด
=========================================
ฉันขอลำดับความเกลียดตัวละครในเรื่องนี้ละกัน
++ อันดับแรกคือซานซ่า เป็นตัวละครที่ช่างเพ้อฝันและโง่เขลาจริงๆ (ปกติฉันไม่ค่อยอยากเรียกใครว่าโง่นะแต่เรื่องนี้ขอยกเว้น ..หลายคนด้วย) เกลียดตั้งแต่ต้นจนจบแล่ม 4 โดยเฉพาะเรื่องของจอฟฟรีย์ ก็เข้าใจนะว่ายังเด็ก แต่ก็น่าจะเห็นนิสัยของจอฟฟรีย์ตั้งแต่ตอนที่หมาป่าของตัวเองโดนฆ่าได้แล้ว แต่นี่นางก็ยังคงเพ้อฝันกับความรักฟรุ้งฟริ้ง จนละเลยครอบครัว นอกจากโง่แล้วยังอ่อนแอ ปวกเปียกมากๆ
++ อันดับสองคือแคตลิน นึกยังไงเนี่ยถึงได้จับธีเรียนเป็นตัวประกันทั้งที่รู้ว่าสามีกับลูกยังอยู่ในมือของแลนนิสเตอร์ ไม่เรียกโง่แล้วยังไงเนี่ย ถือเป็นตัวจุดฉนวนให้เกิดสงครามเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญคือนึกว่าตัวเองฉลาดอีกตะหาก ดูเหมือนจะมีอีกเยอะเลยนะที่ทำเรื่องโง่ๆ ไว้ จะยังมีอีกมั้ยเนี่ยในเล่มหลังๆ
และที่สำคัญคือออกมาแนวเห็นแก่ตัวนะ คนอื่นเขาบ้านเมืองล่มจม ผู้คนล้มตายเพื่อมาช่วยสตาร์ค แต่พอสามีตาย และอยากได้ลูกกลับจากการเป็นตัวประกัน ก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
++ลุงมาร์ตินแกใจร้ายใจดำให้กับตัวละคร 2 ตัวนี้เหลือเกิน ไม่ยอมให้หูตาสว่างบ้างหรือไง ทำแต่ละอย่างไม่ได้ฉลาดเลย อดจะสงสารไม่ได้เลยนะ มันเลยเหมือนว่าสงครามที่เกิด มันมาจากฝ่ายคนดีเลยนะเนี่ย
++เอ็ดดาร์ด สตาร์ค นี่ก็เหมือนกัน เข้าไปเป็นหัตถ์อยู่ได้ตั้งนาน แทนที่จะสะสมขุมกำลัง มัวแต่ทำไรน้อ แกโง่ตรงคิดว่าทุกคนต่างมีเกียรติยศเท่าเทียมกับตัวเอง มีคนมาแนะนำทางออกให้ก็ไม่ฟัง แล้วเป็นไงล่ะ นอกจากตัวเองตาย ลูกเมียเดือดร้อน ลูกน้องตายกันหมด แล้วยังทำให้เกิดสงครามบานปลาย คนนี้ยังดีนะที่รู้ตัวว่าตัวเองโง่ตอนอยู่ในคุก แต่ก็น่าเห็นใจ เพราะตอนต้นเห็นบ่นว่าเขาไม่เหมาะจะปกครองวินเทอร์เฟล น่าจะเป็นพี่ชายเขามากกว่า นั่นสินะ
มาถึงตัวละครอื่นๆ ที่ชอบ
++ทีเรียน ตัวนี้ชอบมากเลยตอนเข้าภาค 2 ตอนภาคแรกยังเฉยๆ ออกจะไม่ค่อยชอบอยู่บ้างเพราะแกปากเสียมาก พอหลังๆ ได้เห็นเลยว่าเป็นพวกมีมันสมอง ไม่ใช่คนดีจนขาว และไม่ได้เลวจนดำมืด เป็นพวกกลางๆ สีเทา รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อรักษาชีวิตตัวเองและลูกน้อง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีในฝั่งของแลนนิสเตอร์
++เดแนรีส ตอนแรกเกลียดเลยล่ะ แลดูอ่อนแอปวกเปียก แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ ก็ชักชอบ เป็นคนที่เรียนรู้เร็ว เข้มแข็ง ไม่นั่งงอมืองอเท้ารอชะตาชีวิตเหมือนซานซ่า แต่ลงมือทำ แม้ว่าจะผิดหรือถูก
++อาร์ยา ตอนแรกก็ไม่ชอบนะ ดูซนเกิ๊น แต่พออ่านๆ ไปก็ได้เห็นพัฒนาการไปในทางที่ดี คือทุกคนน่ะไม่มีใครฉลาดดูเกมออกได้ตลอดเวลา หรือกล้าหาญตลอดศก แต่ที่ชอบคือคนที่มีการเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์
++ตัวละครอื่นๆ ก็เฉยๆ เดินเรื่องไปตามบทบาท ชอบที่ลุงมาร์ตินแกบรรยายตัวละครได้ดีมากๆ ทำให้เห็นเหตุและผลที่ทำให้แต่ละคนทำสิ่งต่างๆ กันไป ...ยกเว้นซานซากับแคตลินน่ะ ที่รับไม่ได้จริงๆ ดีที่เอ็ดดาร์ดตายไปแล้ว
อ่านหนังสือแล้วดีกว่าตอนดูซีรี่ส์ มันทำให้เราได้เห็นภูมิหลังของตัวละครได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของอายุของตัวละคร ที่ฉันคิดว่าน่าจะส่งผลกับการคิดการตัดสินใจในบางเรื่อง
=========================================
มาถึงเรื่องของการแปล ถือว่าแปลได้ดี อ่านได้ลื่น แม้ว่าจะมาจากคนแปลคนละคน ถือว่าทางอมรินทร์คุมเนื้อหาได้ดี คำผิดก็ไม่มี (หรือไม่ค่อยมี) จะมีก็แต่คำเฉพาะในเรื่องบางอย่างค่อนข้างแปร่งๆ แปลกๆ
อย่างชื่อสถานที่บางแห่งก็ทับศัพท์ เช่น คิงส์แลนดิ้ง สตอร์มเอ็น วิทเทอร์เฟล ดรากอนสโตน ถือว่าโชคดีที่เขาไม่แปลออกมาเป็นไทย
กับบางชื่อมันฟังแปลกๆ
ชื่อสถานที่ เช่น ผากำแพง (มาจาก Wall ที่ตัวอักษรแรกเป็นตัวใหญ่ ซึ่งหมายถึงชื่อเฉพาะ..ไปแอบดูใน amazon.com มา) แหลมนิ้ว (อันนี้ไม่รู้มาจากคำไหน) แม่น้ำสามง่าม ง่ามแดง ง่ามเขียว อ่าวหอกเกลือ เกาะหมี ฯลฯ ฟังตลกมากมายเลย
ชื่อฉายาของคน ที่ตลกคือ นิ้วก้อย ...เอิ่ม... มาจากคำว่าไรอ่ะ ฟังนิ้วก้อยแล้ว...
ชื่อเรือ อันนี้ตลกสุดอ่ะ ช่วงรบกันที่คิงส์แลนดิ้ง ทั้ง เจตภูติ ปลาดาบ กวางขาว ที่สุดของที่สุดขอมอบให้กับชื่อ เรือท่านหญิงละอาย จริงๆ ถ้าทับศัพท์ไปเลยจะดีกว่านะ อย่าง เรือเบธาดำ ก็น่าจะมาจาก แบล็คเบธา ถ้าทับไปจะฟังดูดีกว่าเยอะเลย
หรือว่าฉันควรเก็บเงินซื้อฉบับภาษาอังกฤษแทนภาษาไทยดีนะ ก็พออ่านไหว 555
=========================================
ช่วงหลังๆ ของการอ่าน ฉันเริ่มรู้สึกเลี่ยนและเอียนกับเนื้อหา จริงๆ ถ้าพูดถึงเรื่องราวมันมีแค่ไม่มาก หนักไปทางบรรยายซะเยอะ พอใกล้จบภาค 2 ฉันก็ตั้งใจว่าจะพัก หันไปจับหนังสือเรื่องอื่นที่ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ผ่านมา (ไม่ได้ไปเอง แต่ฝากเขาซื้อน่ะ) แต่พอได้ไปอ่านเล่มนั้นแล้วรู้สึกว่าการอ่านขาดรสชาติและสีสันไปอย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องเบนเข็มกลับมาอ่านต่อภาค 3 (เล่มที่ 5) ต่อเลยในทันที
ไอ้อาการแบบนี้มันเกิดกับฉันเป็นปกติ จำได้ว่าหลังจบซีรี่ส์ Breaking Bad กับ Better Call Saul แล้วก็ไม่อยากดูซีรี่ส์เรื่องอื่นอีกไปพักใหญ่ๆ เพราะรู้สึกว่าเรื่องอื่นๆ มันช่างน่าเบื่อเอามากๆ
ครั้งนี้การอ่านส่งผลไปถึงการดูหนังและซีรีส์อีกด้วยน่ะสิ เรียกว่าว่างเมื่อไรก็อ่านหนังสือแทนดูทีวี สงสัยต้องรีบอ่านให้จบ ไม่งั้นทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
นี่เพิ่งไม่กี่สิบหน้าของเล่ม 5 ฉันก็ชักเกลียดแคตลินอีกแล้ว เอาน่ะ หวังว่าเล่มหลังๆ ลุงแกจะทำให้ซานซ่ากับแคตลินมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้างนะ
ในระหว่างอ่านมีทั้งติดงอมแงม กับเบื่อเข้าเส้น ประมาณ 20-30% เป็นเนื้อหาที่ฉันอ่านข้ามๆ นั่นคือตอนที่กล่าวถึงชื่อของอัศวิน ลอร์ด คนจำนวนมาก ชื่อของหลากหลายอาณาจักร และดินแดน ชื่อพวกนี้โถมถับเข้าใส่จนทั้งสับสนและทั้งอ่านตะลุยผ่าน
ในช่วง 100 หน้าแรกของเล่ม 1 ฉันใช้วิธีเขียนชื่อของแต่ละคนลงในสมุดบันทึกเพื่อช่วยจำ พอเริ่มจำตัวละครหลักๆ ได้แล้วฉันก็เลิกจด หลังจากนั้นพอเจอชื่อที่คุ้นก็ค่อยมาเดาๆ เอาว่าคือใครหว่า??? ชื่อไม่คุ้นก็ข้ามไปเถอะ ไว้อีก 10 ปีตอนหนังสือออกมาครบ และได้เวลาอ่านรอบสองฉันค่อยมาทวนความจำอีกรอบ
ภาคแรก A Game of Thrones หรือ "เกมล่าบัลลังก์" เป็นเนื้อเรื่องหลังจากที่โรเบิร์ต บาราเธียนปกครองบ้านเมืองมาได้สิบกว่าปี หลังจากโค่นล้มกษัตริย์องค์ก่อนลงได้ และเมื่อถึงยุคเสื่อมถอยและราชาโรเบิร์ตสิ้นพระชนม์ จึงเกิดการแย่งชิงบัลลังก์
หนังสือเล่าเรื่องราวจากในแต่ละด้านผ่านมุมมองของตัวละครหลายตัว ทั้งเอ็ดดาร์ด แคตลิน ทีเรียน ซานซา อาร์ยา จอน แบรน และเดแนรีส (ครบหรือเปล่าหว่า)
ต่อภาคสอง A Clash of Kings หรือ "ราชันประจัญพล" ตามชื่อเลย ในเล่มนี้มีหลายคนตั้งตัวเป็นพระราชาออกทำศึกเพื่อชิงดินแดน มุมมองของเล่มนี้จะเพิ่มและลดลงตามเนื้อเรื่อง ได้แก่ แคตลิน ทีเรียน ซานซา อาร์ยา จอน แบรน และเดแนรีส เพิ่มธีออน ดาวอส ขึ้นมาแทน เอ็ดดาร์ด
=========================================
ฉันขอลำดับความเกลียดตัวละครในเรื่องนี้ละกัน
++ อันดับแรกคือซานซ่า เป็นตัวละครที่ช่างเพ้อฝันและโง่เขลาจริงๆ (ปกติฉันไม่ค่อยอยากเรียกใครว่าโง่นะแต่เรื่องนี้ขอยกเว้น ..หลายคนด้วย) เกลียดตั้งแต่ต้นจนจบแล่ม 4 โดยเฉพาะเรื่องของจอฟฟรีย์ ก็เข้าใจนะว่ายังเด็ก แต่ก็น่าจะเห็นนิสัยของจอฟฟรีย์ตั้งแต่ตอนที่หมาป่าของตัวเองโดนฆ่าได้แล้ว แต่นี่นางก็ยังคงเพ้อฝันกับความรักฟรุ้งฟริ้ง จนละเลยครอบครัว นอกจากโง่แล้วยังอ่อนแอ ปวกเปียกมากๆ
++ อันดับสองคือแคตลิน นึกยังไงเนี่ยถึงได้จับธีเรียนเป็นตัวประกันทั้งที่รู้ว่าสามีกับลูกยังอยู่ในมือของแลนนิสเตอร์ ไม่เรียกโง่แล้วยังไงเนี่ย ถือเป็นตัวจุดฉนวนให้เกิดสงครามเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญคือนึกว่าตัวเองฉลาดอีกตะหาก ดูเหมือนจะมีอีกเยอะเลยนะที่ทำเรื่องโง่ๆ ไว้ จะยังมีอีกมั้ยเนี่ยในเล่มหลังๆ
และที่สำคัญคือออกมาแนวเห็นแก่ตัวนะ คนอื่นเขาบ้านเมืองล่มจม ผู้คนล้มตายเพื่อมาช่วยสตาร์ค แต่พอสามีตาย และอยากได้ลูกกลับจากการเป็นตัวประกัน ก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น
++ลุงมาร์ตินแกใจร้ายใจดำให้กับตัวละคร 2 ตัวนี้เหลือเกิน ไม่ยอมให้หูตาสว่างบ้างหรือไง ทำแต่ละอย่างไม่ได้ฉลาดเลย อดจะสงสารไม่ได้เลยนะ มันเลยเหมือนว่าสงครามที่เกิด มันมาจากฝ่ายคนดีเลยนะเนี่ย
มาถึงตัวละครอื่นๆ ที่ชอบ
++ทีเรียน ตัวนี้ชอบมากเลยตอนเข้าภาค 2 ตอนภาคแรกยังเฉยๆ ออกจะไม่ค่อยชอบอยู่บ้างเพราะแกปากเสียมาก พอหลังๆ ได้เห็นเลยว่าเป็นพวกมีมันสมอง ไม่ใช่คนดีจนขาว และไม่ได้เลวจนดำมืด เป็นพวกกลางๆ สีเทา รู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อรักษาชีวิตตัวเองและลูกน้อง ทำหน้าที่ตัวเองอย่างดีในฝั่งของแลนนิสเตอร์
++เดแนรีส ตอนแรกเกลียดเลยล่ะ แลดูอ่อนแอปวกเปียก แต่เมื่อดูไปเรื่อยๆ ก็ชักชอบ เป็นคนที่เรียนรู้เร็ว เข้มแข็ง ไม่นั่งงอมืองอเท้ารอชะตาชีวิตเหมือนซานซ่า แต่ลงมือทำ แม้ว่าจะผิดหรือถูก
++อาร์ยา ตอนแรกก็ไม่ชอบนะ ดูซนเกิ๊น แต่พออ่านๆ ไปก็ได้เห็นพัฒนาการไปในทางที่ดี คือทุกคนน่ะไม่มีใครฉลาดดูเกมออกได้ตลอดเวลา หรือกล้าหาญตลอดศก แต่ที่ชอบคือคนที่มีการเรียนรู้ที่จะปรับตัวเองให้เข้ากับสถานการณ์
++ตัวละครอื่นๆ ก็เฉยๆ เดินเรื่องไปตามบทบาท ชอบที่ลุงมาร์ตินแกบรรยายตัวละครได้ดีมากๆ ทำให้เห็นเหตุและผลที่ทำให้แต่ละคนทำสิ่งต่างๆ กันไป ...ยกเว้นซานซากับแคตลินน่ะ ที่รับไม่ได้จริงๆ ดีที่เอ็ดดาร์ดตายไปแล้ว
อ่านหนังสือแล้วดีกว่าตอนดูซีรี่ส์ มันทำให้เราได้เห็นภูมิหลังของตัวละครได้ดีขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของอายุของตัวละคร ที่ฉันคิดว่าน่าจะส่งผลกับการคิดการตัดสินใจในบางเรื่อง
=========================================
มาถึงเรื่องของการแปล ถือว่าแปลได้ดี อ่านได้ลื่น แม้ว่าจะมาจากคนแปลคนละคน ถือว่าทางอมรินทร์คุมเนื้อหาได้ดี คำผิดก็ไม่มี (หรือไม่ค่อยมี) จะมีก็แต่คำเฉพาะในเรื่องบางอย่างค่อนข้างแปร่งๆ แปลกๆ
อย่างชื่อสถานที่บางแห่งก็ทับศัพท์ เช่น คิงส์แลนดิ้ง สตอร์มเอ็น วิทเทอร์เฟล ดรากอนสโตน ถือว่าโชคดีที่เขาไม่แปลออกมาเป็นไทย
กับบางชื่อมันฟังแปลกๆ
ชื่อสถานที่ เช่น ผากำแพง (มาจาก Wall ที่ตัวอักษรแรกเป็นตัวใหญ่ ซึ่งหมายถึงชื่อเฉพาะ..ไปแอบดูใน amazon.com มา) แหลมนิ้ว (อันนี้ไม่รู้มาจากคำไหน) แม่น้ำสามง่าม ง่ามแดง ง่ามเขียว อ่าวหอกเกลือ เกาะหมี ฯลฯ ฟังตลกมากมายเลย
ชื่อฉายาของคน ที่ตลกคือ นิ้วก้อย ...เอิ่ม... มาจากคำว่าไรอ่ะ ฟังนิ้วก้อยแล้ว...
ชื่อเรือ อันนี้ตลกสุดอ่ะ ช่วงรบกันที่คิงส์แลนดิ้ง ทั้ง เจตภูติ ปลาดาบ กวางขาว ที่สุดของที่สุดขอมอบให้กับชื่อ เรือท่านหญิงละอาย จริงๆ ถ้าทับศัพท์ไปเลยจะดีกว่านะ อย่าง เรือเบธาดำ ก็น่าจะมาจาก แบล็คเบธา ถ้าทับไปจะฟังดูดีกว่าเยอะเลย
หรือว่าฉันควรเก็บเงินซื้อฉบับภาษาอังกฤษแทนภาษาไทยดีนะ ก็พออ่านไหว 555
=========================================
ช่วงหลังๆ ของการอ่าน ฉันเริ่มรู้สึกเลี่ยนและเอียนกับเนื้อหา จริงๆ ถ้าพูดถึงเรื่องราวมันมีแค่ไม่มาก หนักไปทางบรรยายซะเยอะ พอใกล้จบภาค 2 ฉันก็ตั้งใจว่าจะพัก หันไปจับหนังสือเรื่องอื่นที่ซื้อมาจากงานมหกรรมหนังสือฯ ครั้งที่ผ่านมา (ไม่ได้ไปเอง แต่ฝากเขาซื้อน่ะ) แต่พอได้ไปอ่านเล่มนั้นแล้วรู้สึกว่าการอ่านขาดรสชาติและสีสันไปอย่างไม่น่าเชื่อ จนต้องเบนเข็มกลับมาอ่านต่อภาค 3 (เล่มที่ 5) ต่อเลยในทันที
ไอ้อาการแบบนี้มันเกิดกับฉันเป็นปกติ จำได้ว่าหลังจบซีรี่ส์ Breaking Bad กับ Better Call Saul แล้วก็ไม่อยากดูซีรี่ส์เรื่องอื่นอีกไปพักใหญ่ๆ เพราะรู้สึกว่าเรื่องอื่นๆ มันช่างน่าเบื่อเอามากๆ
ครั้งนี้การอ่านส่งผลไปถึงการดูหนังและซีรีส์อีกด้วยน่ะสิ เรียกว่าว่างเมื่อไรก็อ่านหนังสือแทนดูทีวี สงสัยต้องรีบอ่านให้จบ ไม่งั้นทำอย่างอื่นไม่ได้เลย
นี่เพิ่งไม่กี่สิบหน้าของเล่ม 5 ฉันก็ชักเกลียดแคตลินอีกแล้ว เอาน่ะ หวังว่าเล่มหลังๆ ลุงแกจะทำให้ซานซ่ากับแคตลินมีพัฒนาการที่ดีขึ้นบ้างนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น