ด้วยนิสัยเสียอย่างหนึ่งของฉัน ฉันจึงตั้งใจบางอย่างไว้เมื่อ 2-3 ปีก่อนนั่นคือ ฉันจะไม่ซื้อหนังสือที่หนาเกิน 300 หน้ามาอ่าน และจะไม่ดูซีรี่ส์ที่มีจำนวนเกิน 2 ซีซัน และแต่ละซีซันต้องไม่เกิน 10 ตอน
นั่นก็เพราะนิสัยเสียของฉันก็คือเมื่อเกิดอาการติดหนังสือหรือซีรีส์นั้นแล้ว ฉันจะออกอาการติดตามแบบไม่ทำงานการ ไม่หลับไม่นอนจนกว่าจะจบ
และฉันก็ละทิ้งความตั้งใจของตัวเองไปในที่สุดเมื่อพบกับหนังสือในชุด Game of Throne ที่มีจำนวน 11 เล่มแปล ฉันอ่านแบบงานการไม่ทำ อ่านจนดึกดื่นจนฝืนอยู่ไม่ไหว ถึงจะนอนได้
อาการนี้มาเกิดอีกครั้งเมื่อฉันเป็นสมาชิก Netflix และ iFlix จากนั้นซีรี่ส์ก็ตามมาอีกเป็นขบวนแบบหยุดไม่อยู่ รวมถึง Lost ที่ทั้ง 6 ซีซัน รวมแล้ว 121 ตอน
แทบแย่กันเลยทีเดียว
ขอหมายเหตุไว้ก่อน ตอนนี้ชีวิตฉันก็อยู่แต่กับบ้านดูทีวี ดูข่าวจนเบื่อเอียน หนังบนฟรีทีวีก็เป็นแนวที่ไม่ชอบ Netflix ก็ไม่เน้นหนังยาวตอนเดียวจบ มีแต่ซีรี่ส์ดีๆ หลายเรื่อง ก็เลยมีเขียนถึงหลายเรื่อง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กลับมาสู่ Mindhunter เป็นเรื่องราวของหน่วยงาม FBI ในยุคฮิปปี้ ที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามศึกษาฆาตกรต่อเนื่องทางด้านพฤติกรรมเพื่อช่วยในการระบุตัวผู้น่าสงสัยได้
สร้างจากหนังสือชื่อ Mindhunter: Inside the FBI's Elite Serial Crime Unit เขียนโดย John E. Douglas และ Mark Olshaker
ซีซันแรกออกอากาศบน Netflix เมื่อตุลาคม ปีก่อนคือ 2017 และซีซัน 2 จะออกอากาศในปีนี้
ในเรื่องเป็นการติดตามการทำงานเพื่อศึกษาฆาตกรของเจ้าหน้าที่ FBI โฮลเดน ฟอร์ด กับบิลล์ เทรนช์ และนักจิตวิทยาพลเรือน เวนดี้ คารร์ โดยเจ้าหน้าที่ FBI จะออกไปสัมภาษณ์ฆาตกรในคุกเพื่อค้นหาเหตุผลที่ทำให้พวกเขาก่อเหตุและมีพฤติกรรมเช่นนั้น
ชอบบรรยากาศในเรื่อง โดยเฉพาะฉากการสัมภาษณ์ฆาตกรที่ส่วนใหญ่ดูเป็นเหมือนคนปกติ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มีการตัดสลับไปที่การใช้ความรู้เหล่านั้นมาตามหาฆาตกรจริงในบางคดี นอกจากนั้นเรายังได้ยินการวิเคราะห์พฤติกรรมและจิตใจของเหล่าฆาตกรด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังไม่มีฉากตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่การพูดคุยกัน กระนั้นกลับน่าติดตามอย่างมาก ฆาตกรเหล่านี้มีตัวตนจริง ทำให้เราได้เห็นว่าฆาตกรเหล่านี้ดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปที่รายล้อมเรา
ตัวเอกในเรื่องโฮลเดน ฟอร์ด ท่าทางแกดูเหมือนหุ่นยนต์ ทั้งการแต่งตัว การเดิน การพูดคุย มีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องของงานเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเหมือนเกราะป้องกันตัวเขาไม่ให้ได้รับผลกระทบทางจิตใจเมื่อต้องออกไปสัมภาษณ์เหล่าฆาตกร ผิดกับเพื่อนคู่หูอายุมาก (ประสบการณ์ทำงานนานกว่า) ที่ชื่อบิลล์ เทรนช์ ที่จิตใจดูจะบอบช้ำมากๆ จากงานนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่เด่นในงานนี้คือของประกอบฉากที่ย้อนยุคไปได้หลายสิบปี ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องเรือน อุปกรณ์ในการบันทึกเสียง รวมไปถึงรถยนต์
เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่น่าติดตามรอซีซัน 2
นั่นก็เพราะนิสัยเสียของฉันก็คือเมื่อเกิดอาการติดหนังสือหรือซีรีส์นั้นแล้ว ฉันจะออกอาการติดตามแบบไม่ทำงานการ ไม่หลับไม่นอนจนกว่าจะจบ
และฉันก็ละทิ้งความตั้งใจของตัวเองไปในที่สุดเมื่อพบกับหนังสือในชุด Game of Throne ที่มีจำนวน 11 เล่มแปล ฉันอ่านแบบงานการไม่ทำ อ่านจนดึกดื่นจนฝืนอยู่ไม่ไหว ถึงจะนอนได้
อาการนี้มาเกิดอีกครั้งเมื่อฉันเป็นสมาชิก Netflix และ iFlix จากนั้นซีรี่ส์ก็ตามมาอีกเป็นขบวนแบบหยุดไม่อยู่ รวมถึง Lost ที่ทั้ง 6 ซีซัน รวมแล้ว 121 ตอน
แทบแย่กันเลยทีเดียว
ขอหมายเหตุไว้ก่อน ตอนนี้ชีวิตฉันก็อยู่แต่กับบ้านดูทีวี ดูข่าวจนเบื่อเอียน หนังบนฟรีทีวีก็เป็นแนวที่ไม่ชอบ Netflix ก็ไม่เน้นหนังยาวตอนเดียวจบ มีแต่ซีรี่ส์ดีๆ หลายเรื่อง ก็เลยมีเขียนถึงหลายเรื่อง
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
กลับมาสู่ Mindhunter เป็นเรื่องราวของหน่วยงาม FBI ในยุคฮิปปี้ ที่เจ้าหน้าที่กำลังพยายามศึกษาฆาตกรต่อเนื่องทางด้านพฤติกรรมเพื่อช่วยในการระบุตัวผู้น่าสงสัยได้
สร้างจากหนังสือชื่อ Mindhunter: Inside the FBI's Elite Serial Crime Unit เขียนโดย John E. Douglas และ Mark Olshaker
ซีซันแรกออกอากาศบน Netflix เมื่อตุลาคม ปีก่อนคือ 2017 และซีซัน 2 จะออกอากาศในปีนี้
ในเรื่องเป็นการติดตามการทำงานเพื่อศึกษาฆาตกรของเจ้าหน้าที่ FBI โฮลเดน ฟอร์ด กับบิลล์ เทรนช์ และนักจิตวิทยาพลเรือน เวนดี้ คารร์ โดยเจ้าหน้าที่ FBI จะออกไปสัมภาษณ์ฆาตกรในคุกเพื่อค้นหาเหตุผลที่ทำให้พวกเขาก่อเหตุและมีพฤติกรรมเช่นนั้น
ชอบบรรยากาศในเรื่อง โดยเฉพาะฉากการสัมภาษณ์ฆาตกรที่ส่วนใหญ่ดูเป็นเหมือนคนปกติ ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร มีการตัดสลับไปที่การใช้ความรู้เหล่านั้นมาตามหาฆาตกรจริงในบางคดี นอกจากนั้นเรายังได้ยินการวิเคราะห์พฤติกรรมและจิตใจของเหล่าฆาตกรด้วย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
หนังไม่มีฉากตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย มีแต่การพูดคุยกัน กระนั้นกลับน่าติดตามอย่างมาก ฆาตกรเหล่านี้มีตัวตนจริง ทำให้เราได้เห็นว่าฆาตกรเหล่านี้ดูแล้วไม่ต่างจากคนทั่วไปที่รายล้อมเรา
เอ็ด เคมเปอร์ (ตัวจริงอยู่ด้านขวา) ฆ่าตายาย แม่ และเด็กสาวอีก 6 คน อย่างโหดเหี้ยม
ตัวเอกในเรื่องโฮลเดน ฟอร์ด ท่าทางแกดูเหมือนหุ่นยนต์ ทั้งการแต่งตัว การเดิน การพูดคุย มีความสนใจใคร่รู้ในเรื่องของงานเหล่านี้อยู่ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเหมือนเกราะป้องกันตัวเขาไม่ให้ได้รับผลกระทบทางจิตใจเมื่อต้องออกไปสัมภาษณ์เหล่าฆาตกร ผิดกับเพื่อนคู่หูอายุมาก (ประสบการณ์ทำงานนานกว่า) ที่ชื่อบิลล์ เทรนช์ ที่จิตใจดูจะบอบช้ำมากๆ จากงานนี้
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ที่เด่นในงานนี้คือของประกอบฉากที่ย้อนยุคไปได้หลายสิบปี ทั้งเครื่องแต่งกาย เครื่องเรือน อุปกรณ์ในการบันทึกเสียง รวมไปถึงรถยนต์
เป็นซีรีส์อีกเรื่องที่น่าติดตามรอซีซัน 2
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น