ฉันเป็นพวกจอมโปรเจ็กต์ มีเยอะในหัวเป็นล้านเลยละมั้ง
สวนทางกับเวลาที่มีจำกัด แถมพกด้วยความขี้เกียจ ดังนั้นโปรเจ็กต์เหล่านั้นจึงจางหายไปตามวันเวลาและความเสื่อมของสมอง ยังมีหลายอย่างที่ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำจริงๆ จังๆ สักเท่าไรนัก พอนึกออกได้สักครั้งก็จะจดลงไปสักที บนสมุดไม่รู้กี่เล่ม บน iPad ก็ด้วย แล้วมันก็ยังเป็นแค่แผนงานอยู่ร่ำไป
หนังสือเล่มหนึ่งที่พอจะบรรยายตัวฉันได้เป็นอย่างดีก็คงจะเป็นเล่มนี้
ล่าสุดเห็นมีคนรีวิวหนังสือ The Bullet Journal Method ฉบับภาษาไทยก็ชักสนใจ สั่งออนไลน์มาลองอ่านว่าเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นคำว่า Bullet Journal อยู่บ่อยครั้งนะ แต่ไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย เข้าใจว่าเป็นการจดบันทึกแบบมี บุลเล็ต อยู่หน้าหัวข้อสิ่งที่ต้องทำ ทำเองก็ได้นิ 555
ก่อนหน้าที่จะได้รับหนังสือ ได้ลองเข้าไปหาดูจากเน็ต ก็ยังงงๆ มั่วๆ แต่ก็เริ่มเข้าใจล่ะว่าที่เคยคิดไปเองน่ะผิดทั้งหมด มันเป็นระบบที่(น่าจะ)เหมาะกับคนอย่างฉัน (หรือเปล่า???)
พอได้หนังสือมาก็รีบอ่านแล้วก็ลองทดลองลงมือทำสมุดบันทึกแบบ Bullet Journal ไว้ พอดีว่ามีสมุดตารางจตุรัสอยู่เล่มหนึ่ง ซื้อไว้เป็นชาติแล้วไม่เคยเอามาใช้ น่าจะเหมาะกับการหยิบมาทำประโยชน์กับเขาเสียที
ระบบเริ่มต้นด้วยการสร้างหน้า Index ไว้ 4 หน้าแรกของสมุด
ต่อมาก็คือแผนงานแบ่งเป็นแผนงานรายปี โดยแยกย่อยเป็น 12 เดือน ต่อจากนั้นก็เป็นบันทึกรายเดือน แล้วก็เป็นบันทึกรายวัน โดยเราแทรกเนื้อหาอื่นๆ ไว้ในหน้าบันทึกรายวันก็ได้ แล้วก็ทำเลขหน้าไว้ไปใส่ในหน้า Index สำหรับค้นหาอ้างอิง (เหมือนหน้าสารบัญน่ะแหละ)
คือทุกอย่างต้องเขียนด้วยมือทั้งหมด เห็นใน Youtube มีคนเขียนปฏิทินรายปีไว้หน้าแรก เลยลองเขียนมั่ง ก็ไม่ได้เสียเวลามากเท่าไรนัก
ด้วยความที่ตารางเล็กมาก เลยต้องบังคับตัวเองให้เขียนช้าๆ ชัดๆ บรรจงไม่ให้ไประรานบรรทัดอื่น ก็เลยทำให้ใจเย็นลงได้เหมือนกันนะ
แล้วเขายังมีระบบสำหรับการทำเครื่องหมายไว้หน้างานในแบบต่างๆ เพื่อให้ดูเข้าใจง่าย
จริงๆ เขามีบันทึกนี่ไว้วางแผนงาน แต่ฉันสมองมึนๆ อึนๆ ไม่มีแผนงานอะไรในหัวเลย ดังนั้นตอนนี้มันจึงมีสภาพเป็นสมุดบันทึกสิ่งที่ทำประจำวัน ณ ขณะนี้ฉันคิดจะทำอะไรก็ลงมือทำเลย แล้วค่อยไปบันทึกไว้ วันที่โดนเจ้าบุญสุขกัดข้อมือก็เอามาลงบันทึกไว้กันลืม บันทึกทุกอย่างไว้เป็นข้อความสั้นๆ กระชับได้ใจความ นั่นคือหลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง
พอเนื้อหาในหนังสือจบในเรื่องวิธีทำ Bullet Journal ก็ต่อด้วยแนวคิดในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องเวลา ฯลฯ อ่านไปชักเนือยๆ เลยหยุดอ่าน กลายเป็น “ทำอะไรไม่สำเร็จ” อีกอย่างหนึ่งจนได้นะ
สวนทางกับเวลาที่มีจำกัด แถมพกด้วยความขี้เกียจ ดังนั้นโปรเจ็กต์เหล่านั้นจึงจางหายไปตามวันเวลาและความเสื่อมของสมอง ยังมีหลายอย่างที่ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ลงมือทำจริงๆ จังๆ สักเท่าไรนัก พอนึกออกได้สักครั้งก็จะจดลงไปสักที บนสมุดไม่รู้กี่เล่ม บน iPad ก็ด้วย แล้วมันก็ยังเป็นแค่แผนงานอยู่ร่ำไป
หนังสือเล่มหนึ่งที่พอจะบรรยายตัวฉันได้เป็นอย่างดีก็คงจะเป็นเล่มนี้
ซื้อมาคงอ่านไม่จบ(ไม่สำเร็จ) 555
ล่าสุดเห็นมีคนรีวิวหนังสือ The Bullet Journal Method ฉบับภาษาไทยก็ชักสนใจ สั่งออนไลน์มาลองอ่านว่าเป็นอย่างไร ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นคำว่า Bullet Journal อยู่บ่อยครั้งนะ แต่ไม่ได้รับรู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย เข้าใจว่าเป็นการจดบันทึกแบบมี บุลเล็ต อยู่หน้าหัวข้อสิ่งที่ต้องทำ ทำเองก็ได้นิ 555
ก่อนหน้าที่จะได้รับหนังสือ ได้ลองเข้าไปหาดูจากเน็ต ก็ยังงงๆ มั่วๆ แต่ก็เริ่มเข้าใจล่ะว่าที่เคยคิดไปเองน่ะผิดทั้งหมด มันเป็นระบบที่(น่าจะ)เหมาะกับคนอย่างฉัน (หรือเปล่า???)
พอได้หนังสือมาก็รีบอ่านแล้วก็ลองทดลองลงมือทำสมุดบันทึกแบบ Bullet Journal ไว้ พอดีว่ามีสมุดตารางจตุรัสอยู่เล่มหนึ่ง ซื้อไว้เป็นชาติแล้วไม่เคยเอามาใช้ น่าจะเหมาะกับการหยิบมาทำประโยชน์กับเขาเสียที
ระบบเริ่มต้นด้วยการสร้างหน้า Index ไว้ 4 หน้าแรกของสมุด
ต่อมาก็คือแผนงานแบ่งเป็นแผนงานรายปี โดยแยกย่อยเป็น 12 เดือน ต่อจากนั้นก็เป็นบันทึกรายเดือน แล้วก็เป็นบันทึกรายวัน โดยเราแทรกเนื้อหาอื่นๆ ไว้ในหน้าบันทึกรายวันก็ได้ แล้วก็ทำเลขหน้าไว้ไปใส่ในหน้า Index สำหรับค้นหาอ้างอิง (เหมือนหน้าสารบัญน่ะแหละ)
คือทุกอย่างต้องเขียนด้วยมือทั้งหมด เห็นใน Youtube มีคนเขียนปฏิทินรายปีไว้หน้าแรก เลยลองเขียนมั่ง ก็ไม่ได้เสียเวลามากเท่าไรนัก
ด้วยความที่ตารางเล็กมาก เลยต้องบังคับตัวเองให้เขียนช้าๆ ชัดๆ บรรจงไม่ให้ไประรานบรรทัดอื่น ก็เลยทำให้ใจเย็นลงได้เหมือนกันนะ
แล้วเขายังมีระบบสำหรับการทำเครื่องหมายไว้หน้างานในแบบต่างๆ เพื่อให้ดูเข้าใจง่าย
จริงๆ เขามีบันทึกนี่ไว้วางแผนงาน แต่ฉันสมองมึนๆ อึนๆ ไม่มีแผนงานอะไรในหัวเลย ดังนั้นตอนนี้มันจึงมีสภาพเป็นสมุดบันทึกสิ่งที่ทำประจำวัน ณ ขณะนี้ฉันคิดจะทำอะไรก็ลงมือทำเลย แล้วค่อยไปบันทึกไว้ วันที่โดนเจ้าบุญสุขกัดข้อมือก็เอามาลงบันทึกไว้กันลืม บันทึกทุกอย่างไว้เป็นข้อความสั้นๆ กระชับได้ใจความ นั่นคือหลักเกณฑ์ข้อหนึ่ง
พอเนื้อหาในหนังสือจบในเรื่องวิธีทำ Bullet Journal ก็ต่อด้วยแนวคิดในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องการทำงาน เรื่องเวลา ฯลฯ อ่านไปชักเนือยๆ เลยหยุดอ่าน กลายเป็น “ทำอะไรไม่สำเร็จ” อีกอย่างหนึ่งจนได้นะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น