
ในตอนนี้มองไปทางไหนต้องเห็นร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่อยู่ทุกถนน ทุกตรอกซอกซอย และมีคนใช้บริการได้ตลอด ได้มองเห็นเด็กวัยรุ่นกดปุ่มบน BB เครื่องเก่งกันตลอดเวลา แม้แต่ตัวคุณเองก็เถอะน่า พอว่างก็ต้องขยับเก้าอี้มานั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วก็เริ่มเข้าสู่... โลกออนไลน์
ใช่ไหมละคะ
วันไหนเน็ตล่ม คอมเสีย มือถือไร้สัญญาณ ...ก็จะออกอาการหงุดหงิดกระวนกระวายไม่ได้ดังใจ พยายามทุกวิถีทางที่จะออนไลน์ให้ได้ อาการแบบนี้เขาเรียกว่า "ผู้เสพติดเทคโนโลยี"
แม้จะฟังดูไม่เป็นอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผู้คนจำนวนมากที่ใช้เวลาจำนวนมากไปกับโลกเสมือนจนส่งผลกระทบให้เกิดปัญหาในชีวิตจริง
ตัวอย่างล่าสุดเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ที่คู่สามีภรรยาปล่อยให้ลูกที่ยังแบเบาะหิวจนตายในขณะที่เล่นเกม role-playing เป็นเวลา 12 ชั่วโมงต่อเนื่องยาวนาน
พฤติกรรมการเสพติดแบบนี้ส่งผลเสียอย่างมากเลยนะคะ
ขณะนี้โรงพยาบาลในลอนดอนแห่งหนึ่งมีโปรแกรมสำหรับบำบัดผู้เสพติดเทคโนโลยีกันแล้ว โดยโปรแกรมนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับคนหนุ่มสาวที่ใช้เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันไปกับการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานเว็บไซต์ประเภท Social Network และผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ
คนที่เสพติดเทคโนโลยีนั้นจะเป็นคนพวกที่ "กระสับกระส่ายและหงุดหงิดเรื้อรัง" ดร.ริชาร์ด เกรแฮมผู้ก่อตั้งการบำบัดนี้กล่าว
ดร.เกรแฮมเป็นที่ปรึกษาการเสพติดเทคโนโลยีที่โรงพยาบาลคาปิโอไนติงเกล โปรแกรมการบำบัดของดร.เกรแฮมนั้นใช้เวลาทั้งสิ้น 28 วัน แต่มันไม่ใช่โปรแกรมที่บีบบังคับให้คนเลิกใช้เทคโนโลยีโดยสิ้นเชิง เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะห้ามไม่ให้ผู้คนปัจจุบันหลีกหนีจากเทคโนโลยีที่ล้อมรอบตัวเราและถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตได้ สำหรับตอนนี้การบำบัดมีอยู่เฉพาะกับคนไข้เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ไม่มีการบำบัดแบบออนไลน์
มาร์ค กริฟฟิธส์ ศาสตราจาร์แห่งมหาวิทยาลัยนอตติ้งแฮมเทรนต์กล่าวว่า จำนวนของผู้ที่เสพติดเทคโนโลยีอย่างจริงจังนั้นยังค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเกมออนไลน์ทั้งหลายนั้นมีความแตกต่างจากเกมที่เล่นบนเครื่องแบบสแตนอโลน เพราะเกมออนไลน์เป็นเกมที่ไม่มีสิ้นสุด และยังกล่าวอีกว่าผู้ที่มีพฤติกรรมเสพติดเทคโนโลยีนั้นมีอยู่สูงสุดในกลุ่มหนุ่มสาวและโดยเฉพาะในเพศชาย
ดร.เกรแฮมกล่าวว่า คนพวกนี้จะถือว่าการเข้าหน้าเว็บและตอบข้อความเป็นความสำคัญสูงสุด มันส่งผลกระทบต่อชีวิตในทุกๆ ด้าน และบิดเบือนความสามารถของคนหนุ่มสาวในการเข้าร่วมกิจกรรมอื่นๆ
ขั้นตอนการเลิกอาการเสพติดเทคโนโลยีของดร.เกรแฮมนั้นประกอบด้วย 3 ขั้นตอน เริ่มด้วยการบำบัดด้านจิตใจเพื่อค้นหาต้นตอของปัญหาโดยใช้การพูดคุยแบบตัวต่อตัว
ศาสตราจารย์กริฟฟิธกล่าวว่า "การบำบัดทุกอย่างต้องเป็นการนำไปสู่การควบคุมพฤติกรรมให้ได้ เพราะคุณเลี่ยงไม่ใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ หรือหนีจากเทคโนโลยีก็ไม่ได้เหมือนกัน"
ปัจจุบันการบำบัดรักษาทำอยู่ภายในโรงพยาบาลเท่านั้นไม่มีบริการบนเว็บของโรงพยาบาลทั้งนี้เพราะ "ในโลกของการบำบัดนั้น มันเป็นเรื่องที่ต้องเข้ามาอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นในห้องๆ หนึ่ง นั่นคือส่วนหนึ่งของการบำบัด" ดร.เกรแฮมบอก
ในเว็บไซต์ของโรงพยาบาลก็มีตัวทดสอบระดับการเสพติดเทคโนโลยีให้คุณทดสอบตัวเอง แบบทดสอบประกอบด้วยคำถาม-คำตอบเกี่ยวกับนิสัยการออนไลน์ และนิสัยเช่นนั้นส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร
ตัวของดร.เกรแฮมเองนั้นกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยีนั้นทำให้เขาเหนื่อยล้า "ผมพบว่าความน่าเหนื่อยหน่ายของอุปกรณ์ของผมนั้นเพิ่มมากขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่การพัฒนาในโลกของเสียง/ภาพนั้นได้นำไปสู่งานเสียงและรูปภาพที่ดูบรรเจิด ผมคิดว่านั้นคือยาที่ช่วยผมได้นั่นเอง"
ที่มา : BBC News