บอกได้สั้นๆ ว่าชอบหนังเรื่องนี้ และไม่เคยคิดว่าเบน สติลเลอร์จะดูดีเท่านี้มาก่อน
เมื่อนึกถึงหนังที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์ กับเบน สติลเลอร์ ฉันก็มักจะนึกถึงหนังตลกที่ไม่ตลกเลยสำหรับฉัน (ฉันเป็นพวกไม่ขำกับมุกตลกคาเฟ่..คงพอนึกภาพออก) แต่กับเบน สติลเลอร์ดีกว่านิดตรงเรื่อง Night At The Museum ฉันรู้สึกว่าดูฮาดี ...เอ่อนะ ก็คงเรื่องเดียวแหละ
ดังนั้นเมื่อมีหนังของสองนักแสดงนี้ฉันจึงมักเลี่ยงไม่ดู
มาเรื่อง Walter Mitty เมื่อดูจากหนังตัวอย่างก็คิดว่าคงเป็นหนังแนวตลกอีกเช่นเคย ส่วนจะตลกหรือไม่ก็รอลุ้น
จะว่าไปหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลกซะทีเดียว แต่เป็นหนังชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่หากว่าเส้นทางชีวิตพลิกผันไปอีกทาง เขาอาจเป็นนักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ทีเดียว จุดหักเหชีวิตของเขาเกิดขึ้นตอนที่พ่อของวอลเตอร์เสียชีวิตไปโดยไม่มีเงินเหลือเก็บในบ้าน เขาจึงเริ่มต้นทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว อันประกอบด้วยแม่และน้องสาวอย่างจริงจังนับแต่นั้น
ความฝันของการผจญภัยในโลกกว้างจึงถูกจำกัดขอบเขตอยู่ภายในโลกส่วนตัว ในจินตนาการอันเจิดจ้าเปล่งประกาย เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะหลุดเข้าไปและลืมเลือนโลกภายนอกจนหมด อันเป็นต้นเหตุของการล้อเลียนกันสนุกสนานจากกลุ่มผู้บริหารใหม่ของนิตยสาร Life ที่เขาทำงานอยู่
และก่อนที่นิตยสาร Life เล่มสุดท้ายจะตีพิมพ์ (แล้วแปลงสภาพเป็น Life Online) ฌอน โอคอนเนล ช่างภาพชื่อดังก็ส่งภาพชุดสุดท้ายมาที่นิตยสาร พร้อมระบุว่าภาพปกฉบับสุดท้ายต้องเป็นภาพจากฟิล์มภาพที่ 25 แต่ฟิล์มหมายเลข 25 กลับไม่ได้อยู่ในม้วนฟิล์มที่ส่งมา
ในช่วงชุลมุนของการปรับเปลี่ยนองค์กรและการไล่ปลดคนงาน วอลเตอร์ถูกกดดันจากผู้บริหารคนใหม่ให้ต้องหาฟิล์มที่ 25 มาให้ได้ แรงกดดันนี้ส่งให้เขาได้ออกไปผจญภัยในโลกของความเป็นจริงที่เขาไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อน เพื่อค้นหาฌอนและฟิล์ม
ฉันชอบฉากผจญภัยช่วงที่เล่นสเก็ตบอร์ดมากๆ มันให้ความรู้สึกทั้งอิสรภาพและความเปราะบางไปพร้อมๆ กัน เพียงแค่พลาดเล็กน้อย คนบนบอร์ดก็จะลงไปคลุกฝุ่นในสภาพที่คงไม่น่าดูนัก แต่ด้วยความเชี่ยวชาญของวอลเตอร์ เขาจึงพาตัวเองออกค้นหาฌอนได้อย่างตลอดรอดฝั่ง สิ่งนี้จึงให้ภาพของวอลเตอร์อีกด้านว่าเขาไม่ใช่แค่คนแหยๆ ที่ทำงานในห้องใต้ดินของตึกใหญ่โต
(อยากเล่นมั่งจัง ทุกอย่างเลยทั้ง สเก็ตบอร์ด สเก็ตน้ำแข็ง เซิร์ฟบอร์ด สโนวบอร์ด แต่ฉันคงเป็นยิ่งกว่าวอลเตอร์ ที่ได้แต่คิด เล่นไม่เป็นเอาซะเลย ตอนวัยรุ่นเคยเล่นสเก็ตล้อ เล่นพอได้และทิ้งมานานนับสิบปี คงไม่ต้องคิดจะกลับไปเล่นอีก "ป้ากระดูกหักเพราะเล่นสเก็ต" คงเป็นพาดหัวข่าวที่ฮาดีพิลึก 5555)
เรื่องที่ดูราวกับแนวเหนือจริงของเรื่องนี้ก็คือ โทรศัพท์มือถือของวอลเตอร์ใช้งานได้ตลอด ตกน้ำก็ยังไม่เสีย ผ่านไปนานแค่ไหนแบตก็ไม่หมด อยู่ที่ไหนก็โทรติดทุกที โทรศัพท์ยังคงอึดทนทานจริงๆ และใช้งานได้ดีมากๆ ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นแบบนี้ก็คงดี
ด้วยการตามหาฌอนและฟิล์ม 25 เขาจึงได้โอกาสพูดคุยกับเชอริล ผู้หญิงที่เขาแอบชอบในที่ทำงานเดียวกัน เพื่อช่วยกันตามหาอีกทางหนึ่ง
ฉากตลกก็มีในเรื่องนี้ บางฉากก็ชอบ (เช่นฉากแกะร้องตอนเขาทำจักรยานล้ม) บางฉากก็น่ารำคาญ (ตอนคิดว่าตัวเองเป็นเบนจามิน บัตทอน)
ชีวิตการทำงานของวอลเตอร์จืดๆ ชืดๆ ไร้สีสัน ไม่มีใครให้ความสนใจ แต่กลับมีคนที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งคนที่มองเห็นความสำคัญของเขา นั่นคือฌอน แม้จะไม่เคยพบกันจริงๆ มาก่อน แต่ฌอนกลับมองลงไปเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของวอลเตอร์ได้
หนังเรื่องนี้กำกับการแสดงโดยเบน สติลเลอร์ ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันเขียนโดย James Thurber ในปี 1939 และเคยมีการนำมาสร้างเป็นหนังมาก่อนหน้านี้ในปี 1947 เพลงประกอบที่เด่นๆ คือ Space Oddity ของ David Bowie ที่นำมาร้องใหม่ น่าฟังอย่างยิ่ง
เมื่อนึกถึงหนังที่นำแสดงโดยอดัม แซนด์เลอร์ กับเบน สติลเลอร์ ฉันก็มักจะนึกถึงหนังตลกที่ไม่ตลกเลยสำหรับฉัน (ฉันเป็นพวกไม่ขำกับมุกตลกคาเฟ่..คงพอนึกภาพออก) แต่กับเบน สติลเลอร์ดีกว่านิดตรงเรื่อง Night At The Museum ฉันรู้สึกว่าดูฮาดี ...เอ่อนะ ก็คงเรื่องเดียวแหละ
ดังนั้นเมื่อมีหนังของสองนักแสดงนี้ฉันจึงมักเลี่ยงไม่ดู
มาเรื่อง Walter Mitty เมื่อดูจากหนังตัวอย่างก็คิดว่าคงเป็นหนังแนวตลกอีกเช่นเคย ส่วนจะตลกหรือไม่ก็รอลุ้น
จะว่าไปหนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังตลกซะทีเดียว แต่เป็นหนังชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่หากว่าเส้นทางชีวิตพลิกผันไปอีกทาง เขาอาจเป็นนักผจญภัยผู้ยิ่งใหญ่ทีเดียว จุดหักเหชีวิตของเขาเกิดขึ้นตอนที่พ่อของวอลเตอร์เสียชีวิตไปโดยไม่มีเงินเหลือเก็บในบ้าน เขาจึงเริ่มต้นทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว อันประกอบด้วยแม่และน้องสาวอย่างจริงจังนับแต่นั้น
ความฝันของการผจญภัยในโลกกว้างจึงถูกจำกัดขอบเขตอยู่ภายในโลกส่วนตัว ในจินตนาการอันเจิดจ้าเปล่งประกาย เมื่อเป็นดังนั้นเขาจะหลุดเข้าไปและลืมเลือนโลกภายนอกจนหมด อันเป็นต้นเหตุของการล้อเลียนกันสนุกสนานจากกลุ่มผู้บริหารใหม่ของนิตยสาร Life ที่เขาทำงานอยู่
และก่อนที่นิตยสาร Life เล่มสุดท้ายจะตีพิมพ์ (แล้วแปลงสภาพเป็น Life Online) ฌอน โอคอนเนล ช่างภาพชื่อดังก็ส่งภาพชุดสุดท้ายมาที่นิตยสาร พร้อมระบุว่าภาพปกฉบับสุดท้ายต้องเป็นภาพจากฟิล์มภาพที่ 25 แต่ฟิล์มหมายเลข 25 กลับไม่ได้อยู่ในม้วนฟิล์มที่ส่งมา
ในช่วงชุลมุนของการปรับเปลี่ยนองค์กรและการไล่ปลดคนงาน วอลเตอร์ถูกกดดันจากผู้บริหารคนใหม่ให้ต้องหาฟิล์มที่ 25 มาให้ได้ แรงกดดันนี้ส่งให้เขาได้ออกไปผจญภัยในโลกของความเป็นจริงที่เขาไม่เคยคิดที่จะทำมาก่อน เพื่อค้นหาฌอนและฟิล์ม
ฉันชอบฉากผจญภัยช่วงที่เล่นสเก็ตบอร์ดมากๆ มันให้ความรู้สึกทั้งอิสรภาพและความเปราะบางไปพร้อมๆ กัน เพียงแค่พลาดเล็กน้อย คนบนบอร์ดก็จะลงไปคลุกฝุ่นในสภาพที่คงไม่น่าดูนัก แต่ด้วยความเชี่ยวชาญของวอลเตอร์ เขาจึงพาตัวเองออกค้นหาฌอนได้อย่างตลอดรอดฝั่ง สิ่งนี้จึงให้ภาพของวอลเตอร์อีกด้านว่าเขาไม่ใช่แค่คนแหยๆ ที่ทำงานในห้องใต้ดินของตึกใหญ่โต
(อยากเล่นมั่งจัง ทุกอย่างเลยทั้ง สเก็ตบอร์ด สเก็ตน้ำแข็ง เซิร์ฟบอร์ด สโนวบอร์ด แต่ฉันคงเป็นยิ่งกว่าวอลเตอร์ ที่ได้แต่คิด เล่นไม่เป็นเอาซะเลย ตอนวัยรุ่นเคยเล่นสเก็ตล้อ เล่นพอได้และทิ้งมานานนับสิบปี คงไม่ต้องคิดจะกลับไปเล่นอีก "ป้ากระดูกหักเพราะเล่นสเก็ต" คงเป็นพาดหัวข่าวที่ฮาดีพิลึก 5555)
เรื่องที่ดูราวกับแนวเหนือจริงของเรื่องนี้ก็คือ โทรศัพท์มือถือของวอลเตอร์ใช้งานได้ตลอด ตกน้ำก็ยังไม่เสีย ผ่านไปนานแค่ไหนแบตก็ไม่หมด อยู่ที่ไหนก็โทรติดทุกที โทรศัพท์ยังคงอึดทนทานจริงๆ และใช้งานได้ดีมากๆ ถ้าในโลกแห่งความเป็นจริงเป็นแบบนี้ก็คงดี
ด้วยการตามหาฌอนและฟิล์ม 25 เขาจึงได้โอกาสพูดคุยกับเชอริล ผู้หญิงที่เขาแอบชอบในที่ทำงานเดียวกัน เพื่อช่วยกันตามหาอีกทางหนึ่ง
ฉากตลกก็มีในเรื่องนี้ บางฉากก็ชอบ (เช่นฉากแกะร้องตอนเขาทำจักรยานล้ม) บางฉากก็น่ารำคาญ (ตอนคิดว่าตัวเองเป็นเบนจามิน บัตทอน)
ชีวิตการทำงานของวอลเตอร์จืดๆ ชืดๆ ไร้สีสัน ไม่มีใครให้ความสนใจ แต่กลับมีคนที่ยิ่งใหญ่อีกหนึ่งคนที่มองเห็นความสำคัญของเขา นั่นคือฌอน แม้จะไม่เคยพบกันจริงๆ มาก่อน แต่ฌอนกลับมองลงไปเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของวอลเตอร์ได้
หนังเรื่องนี้กำกับการแสดงโดยเบน สติลเลอร์ ดัดแปลงจากเรื่องสั้นชื่อเดียวกันเขียนโดย James Thurber ในปี 1939 และเคยมีการนำมาสร้างเป็นหนังมาก่อนหน้านี้ในปี 1947 เพลงประกอบที่เด่นๆ คือ Space Oddity ของ David Bowie ที่นำมาร้องใหม่ น่าฟังอย่างยิ่ง